Wednesday, December 29, 2010

อโลคิน 1 : อสุรพิฆาต

ค่ำคืนนี้แสงดาวค่อนข้างลางเลือน เพราะเมฆฝนที่ปกคลุมอยู่ทั่วแผ่นฟ้า ข้าหันมองดูแถบแสงที่พาดผ่านขอบฟ้าในทุกด้าน แทนการกะประมาณเวลาอย่างคร่าวๆ เพื่อจะดูว่า ใกล้ถึงเวลานัดหมายมากน้อยเพียงใดแล้ว แสงสีที่เห็นออกเขียวเรืองทางขอบฟ้าด้านหนึ่ง บ่งบอกว่าจันทราดวงที่สองคงใกล้จะเคลื่อนคล้อยขึ้นสู่หว่างฟ้าสูงในไม่ช้า และเมื่อมันโผล่พ้นขอบฟ้าด้านนั้นออกมาเมื่อใด คนที่ข้ารอคอยก็คงจะมาถึง

บริเวณที่ข้ารออยู่นี้ เป็นซากสิ่งก่อสร้างโบราณ มันตั้งอยู่บนยอดเขาสูง กระแสลมจึงค่อนข้างแรงและหนาวเย็น ข้าเดินหาอยู่พักใหญ่ก็พบจุดที่พอบังลมได้ มันเป็นส่วนของซากวิหารที่พอมีหลังคาและกำแพงที่ยังพังทะลายไม่หมดเหลืออยู่ ข้านั่งลงบนเสาหินต้นหนึ่งที่หักโค่นลงมานอนกองอยู่ที่พื้น โดยหันหน้าไปทางขอบฟ้า รอคอยให้จันทราดวงใหญ่ลอยโผล่พ้นขึ้นมา

ข้าไม่รู้ว่า สถานที่นี้เป็นที่ใด แต่รู้อยู่อย่างว่า มันไม่ใช่มิติภพของมนุษย์ เพราะข้ามิได้มาด้วยกายเนื้อของมนุษย์ หลังได้รับบัญชาจากต้นสังกัดจิตวิญญาณแห่งข้า ข้าก็ไม่ทีทางเลือกอื่น นอกจากกระทำตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย และได้เดินทางมาเฝ้ารออยู่ ณ.สถานที่นี้ เป็นเวลาเนิ่นนานพอสมควรแล้ว ข้าหันไปมองที่ขอบฟ้าอีกครั้ง แสงสีเขียวเรืองเริ่มส่องสว่าง แสดงว่าจันทราดวงที่สองคงใกล้โผล่พ้นขอบฟ้าออกมาในไม่ช้า และข้าก็ตั้งตาเฝ้ารอต่อไปด้วยความสงบ

และทันทีที่จันทราที่ข้ารอคอยได้ปรากฏส่วนโค้งขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมา ทาทาบเป็นฉากหลังของทิวเขาทางขอบฟ้าด้านนั้น ร่างหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นที่บริเวณใจกลางของซากวิหาร ทั่วร่างแผ่วพลิ้วไปด้วยริ้วแสงที่เจิดจ้า แม้จะไม่คุกคามสายตา แต่ก็เพียงพอที่จะบดบังจนไม่สามารถแลเห็นเรือนร่างที่อยู่ภายในได้ชัด เขาก้าวเข้ามาใกล้ ข้ารีบลุกขึ้นยืนต้อนรับในฐานะผู้น้อย กายแสงนั้นหันมองรอบตัวก่อนจะมาหยุดที่ข้า และบอกว่า สถานที่นี้เดิมทีเป็นมหาวิหารที่สวยงาม รู้จักกันในนาม มหาวิหารแห่งคอนรีนส์

ร่างนั้นบอกให้ข้านั่งลงตามสบาย เห็นเขากวาดมือไปคราหนึ่งก็ปรากฏกองไฟลุกโชนขึ้นที่พื้น ไอร้อนของมันทำให้ช่วยผ่อนคลายความหนาวลงได้มาก แล้วเขาก็ทรุดนั่งลงบนหินใหญ่อีกก้อนคนละฟากกับกองไฟนั้น ก่อนจะประกาศนามของตนว่า อาร์โลคิน ข้าก็พยักหน้ารับทราบ และบอกกล่าวถึงภารกิจที่ข้าได้รอบมอบหมายมาจากต้นสังกัดของข้า ในนามของสายงานอนันตทัศนา อาร์โลคินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบอกว่า นายของข้าเป็นหนึ่งในสหายสนิทของเขา ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องราวในอดีตที่ผ่านพ้นไป แต่เมื่อเป็นดำริของเหล่าสหาย เขาก็ไม่ขัดข้อง กล่าวเสร็จเขาก็นิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ตามลำพังอีกครู่ใหญ่ ข้าก็ได้แต่นิ่งรอไม่บังอาจที่จะไปเร่งเร้าแม้สายตา

อาร์โลคินหันหน้ามาเปรยขึ้นต่อ เขายังคงเน้นว่าการถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาในอดีตภูมิของเขาในครั้งนี้ เป็นมติของกลุ่มสหายสนิท ที่เห็นพ้องต้องกันว่า มหาตำนานของเขา จะเป็นประโยชน์ที่เกื้อกูลต่อผู้ที่อาจหลงเดินในทางที่ผิดพลาดเช่นวิญญาณของเขาในอดีต ข่าวสารเหล่านี้จะช่วยให้คนเหล่านั้น สามารถตระหนักรู้ในสิ่งที่ตนเองกำลังดำรงอยู่หรือดำเนินไป เผื่อว่าจิตวิญญาณเหล่านั้น จะสามารถพลิกผันชะตากรรมและแปรเปลี่ยนหนทางได้ก่อนที่จะถลำลึกจนยากแก้ไข อาร์โลคินค่อยบอกเล่าถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความตั้งใจในครั้งนี้ ข้าก็ได้แต่บันทึกลงในสมุดไว้ เขาเพียงปรายตาดูแต่ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร แววตาที่มองผ่านข้าไปยังขอบฟ้าอีกด้าน คล้ายกำลังหวนรำลึกย้อนทวนกลับไปในอดีตที่สุดแสนไกล

อสุรพิฆาต อาร์โลคินเปรยขึ้น เขาจะเริ่มต้นมหาตำนานในเรื่องนี้ มันเป็นภพชาติที่นานแสนนานในอดีต จนเกินกว่าจะประมาณเวลาได้ เป็นภพภูมิที่เขามีกำเนิดอยู่ในสายพันธ์อันดุร้ายแห่งอสุรสัตว์ ผู้มีแต่ความโหดเหี้ยมไร้เมตตา มีชีวิตอยู่ด้วยการกัดกินสัตว์อื่นเป็นอาหาร มันเป็นยุคสมัยในภพชาติต้นๆ ของเขาที่ยังหลงระเริงอยู่ในความรุนแรง เลือดเนื้อ และการล่าสังหารอันไม่จบสิ้น เป็นหนึ่งในหลายภพชาติที่เขาจมอยู่กับการใช้ความรุนแรง การฆ่าฟัน ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและความตาย อาร์โลคินกล่าวพร้อมแววตาที่สลดสังเวชลง จนข้าพอจะจับความรู้สึกของเขาได้ ผ่านริ้วแสงที่แผ่วพลิ้วอยู่ตลอดเวลานั้น ขณะที่เขาเพ่งมองนิ่งไปที่กองไฟบนพื้น

เรื่องราวทั้งหมดนั้นได้เริ่มต้นขึ้นในโลกธาตุแห่งหนึ่ง ที่รู้จักกันในนาม ฮันเรอาร์ ในโลกธาตุแห่งนั้นมีมิติภพย่อยจำนวนมาก แต่เขาจะพูดถึงเฉพาะดวงดาวที่เขากำเนิดและอาศัยอยู่เท่านั้น มันคือ มิติภพแห่งโอเร็น อาร์โลคินเงยหน้ามาจากกองไฟ ก่อนจะบอกกล่าวต่อ เรื่องราวที่เขากำลังจะบอกเล่าจึงวนเวียนอยู่ในดวงดาวแห่งนี้ และอาจมีบ้างที่ต้องกล่าวถึงมิติภพย่อยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งตัวบุคคลทั้งหลายที่มีบทบาทข้องเกี่ยวอยู่ในฉากตอนชีวิตทั้งหมดในภพชาตินั้น ข้าได้ถามแทรกขึ้นเมื่อเขากล่าวจบ เกี่ยวกับสถานที่นัดพบแห่งนี้ มันมีความหมายใดเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาจะเล่าหรือไม่ และหากข้าคาดไม่ผิด สถานที่นี้จะต้องเป็นมิติภพแห่งโอเร็นอย่างแน่นอน

อาร์โลคินหัวเราะเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาพยักหน้ารับแทนการยืนยัน ก่อนจะลุกขึ้นผายมือเชื้อเชิญให้ข้าหันมองตามไปโดยรอบเศษซากของมหาวิหารโบราณแห่งนี้ ทั้งบอกว่าที่เขาเลือกนัดพบข้าในสถานที่นี้ เพราะมันคือสถานที่สำคัญ ซึ่งมีผลต่อการพลิกผันความเข้าใจของเขาทั้งหมดในภพชาตินั้น และได้ฉุดกระชากเขาให้ออกพ้นจากอิทธิพลแห่งความรุนแรง และความกระหายเลือด ทำให้เขาได้พบคำตอบที่แจ้งชัดว่า วิถีทางที่เขาดำเนินอยู่นั้น มิใช่คำตอบที่เขามุ่งมั่นแสวงหา ไม่มีความรุนแรงใดที่จะหยุดยั้งความรุนแรงด้วยกันได้ เพราะเมื่อมีผู้ใช้ความรุนแรง ก็ย่อมมีผู้ที่รุนแรงกว่า สืบต่อไปไม่จบสิ้น อาร์โลคินกล่าวแล้วเดินกลับไปทรุดนั่งลง ข้ายังคงบันทึกตามทุกคำกล่าวของเขา อาร์โลคินค่อยมองไปที่ขอบฟ้าไกลอีกพักใหญ่ แล้วเขาก็เริ่มบอกเล่าเพื่อถ่ายทอดทุกรายละเอียดของเรื่องราว ดังที่ทุกท่านจะได้พบเห็นในมหาตำนานบทนี้

ติดตามอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone05/blg02/main.php

Saturday, December 11, 2010

อุบัติการเหนือสำนึก

ฟากฟ้าแห่งอนันตกาลยังคงแจ่มกระจ่าง และยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางเส้นทางแห่งกาลเวลาและเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ล้วนถูกบันทึกไว้จนหมดสิ้นแล้วในสนามความทรงจำรวมของจักรวาล โดยไม่มีการตกหล่น แม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่งของวินาที ทุกเหตุการณ์และฉากตอนของความทรงจำ ล้วนปรากฏอยู่อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในสนามรวมของจักรวาลทั้งหมดนี้ และผู้เขียนก็เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้น

นานแสนนานมาแล้ว จนไม่อาจประมาณกาลเวลาที่แน่นอนได้ จนแม้ตัวผู้เขียนเองก็ล้วนลืมเลือนไปจนสิ้นแล้ว ว่าตนเองเริ่มต้นจากที่ใด และกำลังจะเดินทางไปยังแห่งหนไหน ความจริงแล้วในท่ามกลางฟากฟ้าแห่งอนันตกาล ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ล้วนมิได้ดำเนินไปเป็นเส้นตรง ทุกสิ่งคาบเกี่ยวเชื่อมโยงกันจนเป็นหนึ่งเดียว ร้อยเรียงสอดประสานไปตามท่วงทำนองแห่งบทเพลงของกาลเวลาและอวกาศ ไม่มีสิ่งใดสามารถเล็ดลอดไปจากความทรงจำอันเร้นลับและละเอียดอ่อนเหล่านี้ได้

ทุกวันคืนล้วนปรากฏขึ้นบนดินแดนที่แปลกประหลาด ดวงดารายังคงพร่าพรายเต็มครอบฟ้า การเดินทางอันยาวไกลไร้จุดหมาย ยังคงดำเนินอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน เพื่อค้นหาเรื่องราวหรือตำนาน ที่จะถักทอขึ้นเป็นความทรงจำอันมิรู้สิ้น สืบสานและต่อเนื่องยาวนาน จากจักรวาลแล้วจักรวาลเล่า พาดผ่านไปทั้งจินตนาการและความเป็นจริง จนยากที่จะระบุบ่งบอกได้ว่า สิ่งใดที่เป็นจริง และสิ่งใดที่เป็นเพียงความคิดฝันอันไร้ตัวตน

หากจะถามคำถามนี้ออกไป เชื่อว่าความเงียบงันแห่งฟากฟ้าจะเป็นคำตอบเพียงหนึ่งเดียวที่ท่านจะได้รับ เพราะในท่ามกลางอนันตกาลอันยิ่งใหญ่นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น ในขณะเดียวกันมันก็ล้วนมิอาจก้าวก่ายหรือเข้าถึงได้ นี่คือมายาการอันปรวนแปร แม้แต่ชีวิตที่ทุกท่านประสบพบเห็นและดำรงอยู่ในทุกวันคืนที่ผ่านพ้นไป ทั้งหมดนั้นก็ล้วนเป็นเพียงมายาภาพที่มิอาจสัมผัสจับต้อง ไม่แม้แต่จะไขว่คว้าไว้ในกำมือ เพราะทุกครั้งที่ท่านนึกถึงมัน สิ่งที่ท่านกำลังใฝ่ฝันอยู่นั้น ก็ได้เลื่อนลอยหลุดหายไปในกาลเวลาจนหมดสิ้นแล้ว

นี่คือสภาพอันคลุมเครือของจักรวาลที่ขนานควบคู่กันอยู่นับอนันต์ มีจักรวาลก่อเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา กระทั่งในทุกครั้งที่ท่านหวนคิดคำนึง จักรวาลนับอนันต์ก็ได้ผุดพรายขึ้นแล้วในมโนสำนึกของท่านทั้งหลาย มันไม่เพียงแต่กำเนิดเกิดขึ้นในฉับพลันทันใดเท่านั้น แต่ยังจะดำเนินยาวนานสืบต่อไปไม่จบสิ้น ขอแสดงความยินดีต่อทุกท่าน ผู้เป็นดังพระผู้สร้าง ผู้ให้กำเนิดแก่จักรวาลน้อยใหญ่อยู่ตลอดเวลา จงตระหนักรู้ไว้เสมอว่า กาลเวลาและเหตุการณ์ในทุกจักรวาลล้วนอุบัติบังเกิดขึ้นด้วยจินตนาการของทุกคน ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

มันไม่มีความผิดความถูกใดๆ ที่จะต้องหมกมุ่นกังวลใจ เมื่อต้องตัดสินชี้ขาดลงไปในสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะในอนันตกาลไม่มีทั้งความจริงหรือความเท็จ สรรพสิ่งล้วนดำเนินไปบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันไม่จบสิ้น เป็นโยงใยที่เกาะเกี่ยวสัมพันธ์และเชื่อมประสานกันไปอย่างไร้ขอบเขตสิ้นสุด ไม่มีคำว่าพรมแดนในพจนานุกรมของกาลเวลา หลายท่านอาจเข้าใจว่า กาลเวลามีเพียงมิติเดียวคือความยาวนานนับอนันต์ แต่แท้จริงแล้ว กาลเวลาได้ห่อหุ้มทุกเหตุการณ์และทุกมิติไว้ในตัวมันเอง ในขณะเดียวกันทิศทางของกาลเวลาก็ไม่มีระบบระเบียบใดๆ ที่จะไปกำหนดบัญญัติได้ มันเหมือนกับจะมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง หรืออาจกล่าวได้ว่า ความพัวพันอันยุ่งเหยิงทั้งหมด ก็คือเส้นทางอันแท้จริงของกาลเวลา จึงอาจถือได้ว่ามันเป็นวิถีแห่งความโกลาหลโดยแท้

ผู้เขียนดำรงอยู่บนความเข้าใจอันลึกซึ้งในสิ่งเหล่านี้ พรมแดนของจิตวิญญาณไม่อาจจำกัดขอบเขตแห่งความทรงจำใดๆ ไว้ได้ เพราะมันเป็นความจำร่วมของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล ท่านมีหน้าที่เพียงดำเนินไปตามเส้นทางที่มันเอื้ออำนวยไว้ หากท่านยินยอมให้มันกำหนดกะเกณฑ์หนทางชีวิตของตัวท่านเอง ผู้เขียนเป็นผู้หนึ่งที่ไม่ประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น ไม่มีเส้นทางสำเร็จรูปใดๆ ที่จะผ่านการเลือกเฟ้นที่สมบูรณ์แน่นอนตายตัว อย่างมากก็เป็นเพียงความเป็นไปได้ที่จะเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง และในความเป็นจริงก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเลือก ท่านจะเลือกไปทำไม ในเมื่อทุกเส้นทางล้วนมีความเป็นไปได้เท่าเทียมกัน

จงอย่าถามหาความแน่นอนเที่ยงแท้ในความไร้กฏเกณฑ์ ในเมื่อบนความน่าจะเป็น ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมที่จะบังเกิดและสิ้นสูญ ความเสี่ยงบังเกิดขึ้นในทุกการรับรู้ ที่ล้วนดำเนินไปตามอำนาจในการตัดสินใจ หากคิดว่าท่านมีกำลังมากพอ ก็ลองเลือกเส้นทางดู แล้วท่านจะพบว่าทุกครั้งที่ท่านเลือกทางใดทางหนึ่ง ตัวท่านเองก็จะเดินไปบนเส้นทางทุกหนแห่งที่เป็นไปได้ทั้งหมดนั้น แล้วจะมีประโยชน์อันใดที่จะมัวเลือกให้เสียเวลา เมื่อทุกเส้นทางล้วนต้องก้าวเดิน สิ่งที่จะทำได้ก็มีเพียงการย่างเท้าออกไป แล้วตัวท่านจะปรากฏขึ้นโดยพร้อมเพรียงในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางจักรวาลคู่ขนานนับอนันต์นั้น

ผู้เขียนในฐานะนักเดินทางท่องเที่ยวไปบนเส้นเวลาและเหตุการณ์ ข้ามพ้นไปยังจักรวาลคู่ขนานแห่งแล้วแห่งเล่า บันทึกทั้งหลายต่อไปนี้ ที่กำลังจะปรากฏต่อสายตาของทุกท่าน ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้เขียนได้มีโอกาสไปประสบพบเห็นมา มันจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกท่านที่ได้สัมผัส สามารถพาตนเองหลุดพ้นออกจากขอบเขตและข้อจำกัดของความจริงและจินตนาการ หลุดพ้นไปจากความจำเจแบบเดิมๆ ของชีวิต จงติดตามเรื่องราวทั้งหลายนี้มาด้วยกัน ร่วมเดินทางไปพร้อมกับผู้เขียน เพื่อร่วมเป็นพยานของอุบัติการที่แสนมหัศจรรย์และอยู่เหนือไปจากคำบรรยายทั้งปวง

และพึงตระหนักว่า เรื่องราวที่จะท่านจะได้พบเห็นต่อไปนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่พ้นไปจากสามัญสำนึกปกติของทุกผู้คน มันจะทำให้ทุกท่านพบว่า ฟากโพ้นแห่งคติความเชื่อที่ทุกคนคุ้นเคยและเข้าใจว่าเป็นความจริงนั้น แท้จริงแล้วมันมิได้เป็นดังที่ท่านจะนึกคิดหรือจินตนาการไปได้เสมอไป ยังมีสิ่งที่เร้นลับและซับซ้อนเกินกว่าที่จะใช้เพียงสามัญสำนึกปกติในการทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างแจ่มกระจ่าง และอุบัติการเหนือสำนึกเหล่านี้ จะเป็นเครื่องยืนยันคำกล่าวทั้งหมดนี้ได้เป็นอย่างดีด้วยตัวของมันเอง

ติดตามอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone04/blg02/main.php

Tuesday, November 30, 2010

สารพันปัญหาชีวิต

การใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันแทบจะในทุกย่างก้าว ย่อมมิใช่เรื่องที่ง่ายดายดังที่หลายๆ คนคาดคิดไว้ จึงอาจกล่าวได้ว่า การใช้ชีวิตนั้นเป็นศิลปะรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่ใช่จะเดินบุกตะลุยไปเบื้องหน้าแต่อย่างเดียว แล้วจะแน่ใจได้ว่า ความสำเร็จรออยู่เบื้องหน้า ดังคำที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น สำหรับผู้เขียนแล้ว ข้อความนี้จะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อ คนผู้นั้นไม่หยุดที่จะพยายามถ้ายังไม่สำเร็จ เพราะถ้าหยุดแต่กลางคัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือสาเหตุใด ก็ต้องถือว่าเป็นความพยายามที่สูญเปล่า ไม่มีความสำเร็จใดๆ รออยู่ ณ.จุดที่ท่านหยุดความพยายามนั้น

หลายๆ คนยังไม่เข้าใจคำว่าสำเร็จเสียด้วยซ้ำ ทั้งนี้ก็เพราะเขาไม่รู้จักคำว่าพอ จึงมักจะรู้สึกว่ายังไปไม่ถึงจุดหมายที่ต้องการเสียที แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าท่านจะมีความต้องการมากเพียงไหน หากท่านยังมีแรงพอที่จะดิ้นรนฝ่าไป ก็เชิญตามสบาย สิ่งเดียวที่อยากจะให้แง่คิดสะกิดเตือนใจกันไว้ก็คือ ถ้ารู้จักพอก็จะไม่ต้องเหนื่อยอย่างที่เป็น แต่จะว่าไป อย่างน้อยคนเหล่านี้ก็ยังรู้ว่าตนต้องการอะไร แม้จะมีความต้องการไม่จบไม่สิ้นก็ตาม ทว่าบางคนกลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองต้องการอะไร จึงทำให้ไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตไปในทางไหน กลายเป็นคนเลื่อนลอยไร้ความหวังไปในที่สุด

หากจะถามว่าแล้วสมควรจะดำเนินชีวิตเช่นไร คำตอบคงต้องหลากหลายตามแต่กรณีของแต่ละคน เพราะบอกไว้แต่ต้นแล้วว่า มันเป็นเรื่องของศิลปะการใช้ชีวิต และความเป็นศิลปะนี้เองที่หมายถึงการไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว ไม่มีสมการเพียงหนึ่งเดียว ที่สามารถตอบโจทย์ในทุกๆ เรื่องราวได้ และนี่ก็คือสาเหตุที่มาของบทความการตอบคำถามชุดนี้ เพราะหลังจากได้สัมผัสกับปัญหาของผู้อ่านหลายๆ คนที่สอบถามเข้ามาเว็บไซท์ดาวแปด ก็พบว่า ยังมีผู้อ่านจำนวนมาก ที่มีความประสงค์จะรู้เกี่ยวกับวิถีการดำเนินชีวิตแบบพื้นๆ ทั่วไป มิใช่เรื่องราวที่สูงส่งด้วยหลักปรัชญาหรือธรรมะชั้นสูง ทางทีมงานผู้จัดทำจึงได้มอบหมายให้ผู้เขียน ใช้ประสบการณ์ที่มีอยู่จากการคลุกคลีกับผู้คนจำนวนมาก และได้ผ่านการตอบคำถามและให้คำปรึกษามาโดยตลอดเวลาหลายสิบปี มาช่วยไขข้อข้องใจให้กับท่านผู้อ่าน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องบอกว่า ข้อมูลหรือความรู้ที่จะนำเสนอไว้ในบทความชุดนี้ ก็มิใช่คำตอบสุดท้ายแบบเบ็ดเสร็จที่จะสามารถใช้ได้กับปัญหาของทุกคน เอาเป็นว่า หากพอจะปรับใช้ได้ก็ขอเชิญเลือกหยิบไปทดลองได้ตามสะดวก และถ้าหากพบว่าไม่มีคำตอบใดที่ใกล้เคียงกับปัญหาของตนเองเลย ก็สามารถสอบถามเข้าไปได้ที่เว็บไซท์ www.daow8.com แล้วทางทีมงานก็จะรวบรวมมาให้ผู้เขียนช่วยตอบให้อีกที มีสิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักไว้ก็คือ ข่าวสารเหล่านี้จะเป็นเหมือนการแนะนำการเดินเรือ เพื่อนำล่องสู่ฟากฝั่ง มิใช่การเดินเรือไปเรื่อยๆ ในท้องทะเลกว้าง เหตุผลก็เพราะว่าไม่มีความรู้ใดที่จะสามารถใช้ได้ตลอดไป เพราะธรรมชาติของท้องทะเลย่อมเต็มไปด้วยความแปรปรวน และพร้อมจะเกิดพายุร้ายที่โหมกระหน่ำได้ทุกเวลา

ซึ่งไม่ต่างกับการดำเนินชีวิตในทั่วไปในโลก เพราะมีธรรมชาติที่แปรปรวน และควบคุมไม่ได้ดุจเดียวกัน โบราณท่านจึงเปรียบเปรยการอยู่ในโลกว่าเหมือนการเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ที่ไม่สิ้นสุด การดำรงอยู่จึงมิใช่ทางออกของปัญหา แต่การขึ้นสู่ฟากฝั่งต่างหาก ที่จะเป็นการยุติสาเหตุแห่งปัญหาทั้งปวง เหมือนคนที่เดินเรือถึงฝั่ง แล้วขึ้นไปเสีย เขาเหล่านั้นย่อมไม่ต้องมัวกังวลเกี่ยวกับคลื่นลมมรสุมและอุปสรรคในการเดินเรืออีกต่อไป สรุปแล้ว บทความนี้จึงเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่จะใช้ไปได้ตลอดกาล เพราะความรู้ในโลกไม่อาจใช้ได้จริงตลอดไป

สาเหตุก็มาจากภาวะของโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาดังกล่าว ดังนั้นคำตอบสำหรับปัญหาหนึ่ง ก็อาจใช้ได้ในเฉพาะช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะเมื่อเหตุปัจจัยเปลี่ยนไป เช่นสภาวะสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จึงเป็นธรรมดาที่ คำตอบเดิมที่เคยใช้แก้ปัญหานั้นๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ก็อาจไม่สามารถใช้ได้ผลอีก ท่ามกลางเงื่อนไขของปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นการจะดำรงอยู่ในโลกจึงต้องใช้ความเพียรพยายามอันไม่จบสิ้น ผู้เขียนจึงถามไว้แต่ต้นว่า ไม่เหนื่อยบ้างหรือ ถ้ารู้จักพอและวางเสีย ก็จะได้ไม่ต้องเหนื่อยอีกต่อไป และเมื่อนั้นท่านจะพบคำตอบสำหรับชีวิตที่แท้ด้วยตัวของท่านเอง

ท้ายสุดนี้ผู้เขียนก็ขอออกตัวว่า แม้จะมีประสบการณ์อยู่กับการให้คำปรึกษาแก่ผู้คนหลากหลายมาตลอดชีวิตที่ผ่านมา แต่มันก็มิใช่สิ่งรับรองหรือเครื่องรับประกันใดๆ ว่า ทุกคำตอบของผู้เขียนจะช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตของทุกคนได้หมด ให้ถือเสียว่า เป็นอีกหนึ่งความพยายามของเว็บไซท์ดาวแปด ที่มุ่งหวังจะช่วยแสวงหาคำตอบให้แก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ด้วยความปรารถนาดีจากใจจริงของทีมงานและนักเขียนทุกคนในเว็บไซท์แห่งนี้ รวมทั้งตัวผู้เขียนเองด้วย และเมื่อได้รับมอบหมายให้ตอบข้อสงสัยในส่วนที่เกี่ยวกับสารพันปัญหาในชีวิตจริง ก็ตั้งใจไว้ว่าจะพยายามทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ โดยการนำเสนอแต่ข้อเท็จจริงให้แก่ท่านผู้อ่าน

โดยขอให้พึงตระหนักไว้ในใจว่า ผู้เขียนก็ไม่ต่างอะไรกับแพทย์ที่มีความตั้งใจจริงในการรักษาผู้ป่วยให้หายเป็นปกติ แต่ผลที่ได้นั้นย่อมต้องขึ้นกับหลายเหตุปัจจัย และสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าความเชี่ยวชาญในการรักษาของแพทย์ ก็คือ ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ได้ครบถ้วนเพียงใด เพราะหากไม่สามารถทำตามได้อย่างสมบูรณ์ อาการเจ็บไข้เกิดไม่หาย จึงยากที่จะโทษการวินิจฉัยของแพทย์ เพราะย่อมมิอาจบอกได้ว่า แพทย์วินิจฉัยได้ถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากคนไข้มิได้ปฏิบัติตามแนะนำของแพทย์ในทุกประการนั้น ผู้เขียนจึงได้แต่หวังว่า ท่านผู้อ่านจะสามารถใช้ประโยชน์จากบทความของผู้เขียนได้มากที่สุด ด้วยการทำความเข้าใจแล้วนำไปทดลองปฏิบัติอย่างจริงจัง และหากเป็นไปได้จะแจ้งผลลัพธ์ที่ได้กลับมาให้ผู้เขียนรับทราบด้วยก็จะเป็นการดี เพราะจะได้รู้ว่า ตนเองได้ให้คำแนะนำที่ครบถ้วนเหมาะสมแล้วหรือยัง

ติดตามอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone01/blg01/main.php

Saturday, November 13, 2010

สัจจะธรรมเสวนา

บทความในส่วนนี้จะเป็นการรวบรวมคำถามที่ได้จากท่านสมาชิก ผู้มีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องราวทางปรัชญา ทั้งแบบธรรมดาทั่วไป หรือที่เป็นอภิปรัชญาชั้นสูง ซึ่งอยู่เหนือไปจากสามัญสำนึกปกติ โดยจะรวมความไปถึงข้อสงสัยทางธรรม ทั้งในส่วนของหลักทฤษฎีที่เป็นธรรมปรัชญาพื้นฐานไปจนถึงปรมัติธรรมชั้นสูง และหลักปฏิบัติที่จะใช้เป็นแนวทางในการบำเพ็ญธรรม เพื่อฝึกฝนจิตวิญญาณของแต่ละคนให้เข้าถึงความเข้าใจในธรรมทั้งหลาย โดยความพยายามทั้งหมดนี้ก็เพียงต้องการขยายมุมมองของท่านผู้อ่านให้กว้างไกลออกไปมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มิได้ต้องการพิสูจน์ความผิดถูกจริงเท็จ ที่จะบานปลายกลายเป็นข้อพิพาทถกเถียงกับผู้ใดทั้งสิ้น ในขณะเดียวกันก็พร้อมจะแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น และน้อมรับทุกคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้รู้ทุกท่าน

ดังคำกล่าวที่ว่า อนันตธรรมนั้นกว้างไพศาล ไม่มีที่มาที่ไป จับตรงไหนก็เป็นธรรม ดังนั้นทุกข้อสงสัยและคำอธิบายล้วนสามารถสัมผัสถึงธรรมได้ทั้งสิ้น เนื้อแท้ของธรรมจึงบริสุทธิ์ปราศจากความถูกหรือความผิด ในขณะที่โลกียธรรมนั้นแปรปรวนวุ่นวายไม่จบสิ้น ธรรมทั้งหลายในที่นี้จึงล้วนประกอบขึ้นด้วยเหตุปัจจัย เมื่อเหตุแปรเปลี่ยนผลจึงย่อมเปลี่ยนตามเป็นธรรมดา ด้วยเหตุนี้ธรรมในโลกียะจึงแปรปรวนไม่หยุดนิ่ง แม้จับต้องได้ก็เพียงสภาวะชั่วคราวในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจคงที่ถาวรตลอดไป ธรรมหนึ่งที่เคยเป็นที่ยอมรับว่าถูกต้อง เมื่อกาลเวลาผ่านไปอาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการยอมรับ กระทั่งอาจถูกตัดสินว่าผิดก็เป็นไปได้ นี่เรียกว่า เป็นไปตามเหตุปัจจัย และการสมมติของผู้ที่ตระหนักรู้ในธรรมเหล่านั้น

ในขณะที่โลกุตรธรรมนั้นคงที่เที่ยงแท้ไม่แปรเปลี่ยน ผู้ที่เข้าถึงโลกุตรธรรมจึงมีแต่จะไหลเลื่อนไปตามกระแสสู่ความหลุดพ้นจากโลกียะวิสัยทั้งหลายเป็นธรรมดา เป็นการไปอย่างไม่อาจย้อนคืนได้ นี่เรียกว่า เป็นแล้วไม่ย้อนกลับ โลกุตรธรรมจึงคงที่ควบคุมได้ ตรงข้ามกับโลกียธรรมที่ไม่คงที่ควบคุมไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นก็มิได้มีความแตกต่างใดๆ ต่อกัน ระหว่างโลกุตระและโลกียะ เพราะล้วนเป็นธรรมดุจเดียวกัน แม้หนึ่งจะเป็นปรมัติสัจจ์ คือความจริงแท้ขั้นสูงสุด และอีกหนึ่งจะเป็นเพียงสมมติสัจจ์ คือความจริงที่ถูกสมมติบัญญัติขึ้นเท่านั้นก็ตาม

ด้วยเหตุผลดังกล่าวมา ผู้เขียนจึงไม่เห็นคุณค่าหรือความสำคัญในการโต้เถียงกับผู้ใด เมื่อธรรมทั้งหลายเป็นไปตามผู้ตระหนักรู้ในธรรมนั้น จึงมีความหมายแปรตามมโนคติและความคิดของแต่ละคน ผู้มีความเข้าใจในมิติที่แตกต่างไปของธรรมเดียวกัน ก็อาจมองเห็นความหมายแห่งธรรมนั้นไม่ตรงกันเป็นธรรมดา ดังนั้นคำตอบหรือคำอรรถาธิบายใดๆ ที่ปรากฏอยู่ในบทความนี้ จึงเป็นเพียงการเสนอมุมมองความคิดในอีกด้านหนึ่ง ซึ่งหากบังเอิญไปตรงกับความเข้าใจของท่านผู้อ่าน ก็ถือเสียว่าเป็นการย้ำเน้นความเข้าใจให้แนบแน่นเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น แต่หากปรากฏในแง่มุมที่ตรงกันข้าม ก็ขอให้ถือเสียว่า เป็นการเสนอแนะให้ลองพิจารณาธรรมนั้นในทัศนะที่เพิ่มเติมออกไป มิใช่เป็นการขัดแย้งต่อความเข้าใจเดิมของท่านแต่ประการใด

ในขณะเดียวกัน ท่านผู้รู้ใด ที่ประสงค์จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้เขียน ก็สามารถชี้แนะมาได้ ในฐานะผู้ประจักษ์ในธรรมที่ปรากฏต่อหน้า ผู้เขียนจึงยินดีจะน้อมรับทุกความคิดเห็นโดยปราศจากคติและอคติ เพราะการประจักษ์ในธรรมทั้งหลายนั้น ต้องเปิดใจออกรับรู้โดยปราศจากทิฐิความเห็นใดๆ จึงจะสามารถเข้าถึงความหมายแห่งธรรมนั้นอย่างแท้จริง และเพื่อให้การแลกเปลี่ยนนั้นเกิดความเข้าใจตรงกันทั้งสองทาง ผู้เขียนจึงขออนุญาติล่วงหน้า ในการนำความคิดเห็นของท่านมานำเสนอตามสมควร เพื่อให้เป็นบทขยายต่อความรู้ความเข้าใจของท่านสมาชิกอื่นๆ โดยอาจมีการเสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเข้าไปบ้าง ขอท่านอย่าได้ถือสาว่าเป็นการเห็นแย้งหรือข้อโต้เถียงแต่ประการใด หากความคิดเห็นนั้นเกิดไม่ตรงกับสิ่งที่ท่านเสนอมา

สำหรับท่านผู้อ่านทั้งหลาย ก็ขอได้ทำความเข้าใจตรงกันว่า สิ่งใดที่ผู้เขียนนำมาเสนอในที่นี้ ก็ล้วนเป็นเพียงข้อมูลเพิ่มเติมในแง่มุมต่างๆ มิใช่สิ่งที่ควรจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ขอให้รับรู้และใช้วิจารณญาณของท่านอย่างเป็นกลางที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมันเป็นวิธีการเพียงหนึ่งเดียวที่จะทำความเข้าใจในธรรมทั้งหลาย มิได้จำกัดเฉพาะคำตอบที่ผู้เขียนบรรยายไว้ การด่วนตัดสินว่าถูกผิด หรือจริงเท็จ ล้วนเป็นขบวนการที่โน้มเอียงไปสู่การปรุงแต่งของความคิดแบบโลกียะ เพราะแท้จริงแล้วธรรมทั้งหลายล้วนมีแต่ความจริง ไม่ว่าจะเป็นความจริงที่แท้ หรือความจริงที่สมมติขึ้นก็ตาม การประจักษ์รู้ด้วยใจที่เป็นกลางไร้การตัดสินใดๆ จะทำให้ท่านก้าวพ้นจากคติและอคติ ไม่มองเฉพาะในแง่ดี หรือร้ายเพียงสถานเดียว และเมื่อนั้นท่านย่อมเห็นความจริงแท้ในธรรมนั้นด้วยตัวของท่านเอง

ท้ายสุดนี้ก็จะขอใช้เนื้อที่อีกเล็กน้อยในการพูดถึง วิธีการเข้าถึงเนื้อหาของบทความที่ท่านต้องการ โดยผู้เขียนจะทำการเรียบเรียงและจัดกลุ่มคำถามทั้งหลายให้เป็นหมวดหมู่อยู่ในบทความเดียวกัน เพราะบางครั้งจะได้รับคำถามที่ใกล้เคียงกันและเคยตอบไปแล้ว แต่อาจมีบางแง่มุมที่สมควรจะขยายความเพิ่มเติม โดยผู้เขียนจะนำไปตอบไว้ในบทความเดียวกันนั้น ขอให้ท่านผู้อ่านที่ส่งคำถามเข้ามา เลือกเอาว่า คำถามของตนใกล้เคียงกับบทความใด ก็ให้เลือกเข้าไปดูในบทความนั้น และมองหาหัวข้อคำถามที่ตรงกับความสงสัยของตน โดยวิธีนี้ท่านผู้อ่านจะสามารถทำความเข้าใจเพิ่มเติมในคำถามใกล้เคียงอื่นๆ ที่อาจช่วยให้ท่านได้คำตอบที่ชัดเจนและสามารถคลี่คลายข้อสงสัยในใจจนหมดสิ้น หรือท่านจะลองเลือกเข้าไปอ่านในบทความของคำถามอื่นๆ ก็ไม่เป็นการผิดกติกาแต่อย่างไร ท้ายสุดนี้ผู้เขียนก็จะขอฝากสิ่งที่เป็นคติประจำใจของนักเขียนประจำชมรมดาวแปดทุกคนไว้ว่า การจะทำลายความสงสัยได้อย่างสิ้นเชิง ก็คือการตอบข้อสงสัยเหล่านั้นจนหมดสิ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ทางชมรมของเราจึงมีข้อปฏิบัติกันจนเป็นปกติประการหนึ่งคือ ไม่หยุดที่จะตอบ จึงไม่ห้ามที่จะถาม

ติดตามอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone01/blg05/main.php

Thursday, October 28, 2010

โซรีเซีย 1 : ปฏิฆันทารา

หลังจากมหาสงครามที่สุดแสนหฤโหดเมื่อพันปีที่ผ่านมาได้จบสิ้นลง พร้อมกับความบอบช้ำของทุกสายพันธ์และอารยธรรมที่เกี่ยวข้อง ชาวมนุษย์ที่ขยายอณานิคมออกไปยังระบบดาวเทราคอน ล้วนต้องถูกบีบบังคับให้ถอยกลับคืนสู่ระบบดาวดั้งเดิมของตนจนหมดสิ้น ภายใต้ปฏิญญาแห่งความอัปยศ ที่มนุษย์ชาวโซรีเซียทุกคนต้องทนแบกรับไว้ ทำให้พวกเขาต้องถูกกักให้ดำรงคงอยู่เฉพาะในดาวโซริน แหล่งกำเนิดดั้งเดิมของพวกตน ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดจากสายพันธ์เทราอีส ที่ได้รับเลือกจากกลุ่มที่วิตกกังวลต่อการแผ่ขยายอาณานิคมของมนุษย์ ให้เป็นตัวแทนคอยควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้อารยธรรมของมวลมนุษย์ต้องตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัดนานัปการ ตามที่กำหนดไว้ในปฏิญญาฉบับจำยอมนั้น โดยพวกเขาไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีอื่นใด ที่จะเป็นไปเพื่อการทำสงคราม จะมีได้ก็แค่วิทยาการพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการคงอยู่ของเผ่าพันธ์เท่านั้น รวมทั้งยังไม่มีอิสระที่จะเดินทางออกนอกดวงดาวแม้น้อย เพราะมียานแม่ของพวกเทราอีสคอยตรวจตราดูแลอยู่ ด้วยเงื่อนไขที่แสนจะบีบบังคับทั้งหมดนี้ จึงทำให้เผ่าพันธ์มนุษย์ต้องติดอยู่ภายในดาวเคราะห์ต้นกำเนิดของตนมาตลอดระยะเวลาหนึ่งพันปี

สาเหตุสำคัญที่ทำให้สภาสูงแห่งจักรวาลไม่อาจยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยวได้เท่าที่ควร และต้องจำยอมรับเงื่อนไขข้อจำกัดทั้งหมด ที่ถูกใช้บีบบังคับสายพันธ์มนุษย์อย่างรุนแรงและร้ายกาจ ประหนึ่งว่าต้องการให้พวกเขาสิ้นหวัง และทยอยสูญสิ้นเผ่าพันธ์ไปในที่สุดภายในดวงดาวของตน ก็เพราะว่า สภาพภายหลังสงครามที่ทุกฝ่ายตกอยู่ในสภาพที่ยับเยินเกินกว่าจะรวมตัวกันได้อย่างมีเอกภาพ จึงทำให้อำนาจของสภาสูงถูกลดทอนไปอย่างสิ้นเชิง กระทั่งเกิดการแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่ายอย่างค่อนข้างชัดเจน คือฝ่ายที่ต้องการให้โอกาสแก่มนุษย์โลกโดยมีสายพันธ์เฟซาเรียนเป็นแกนนำ ขณะที่อีกฝ่ายต้องการพิพากษาลงโทษประหารชีวิต ทำลายสิ้นทั้งเผ่าพันธ์ของมนุษย์ ก็มีสายพันธ์เทราอีสเป็นหัวโจก

แต่นอกจากสภาพของสภาสูงที่ไร้เอกภาพเพียงพอ ที่จะมีอำนาจควบคุมการตัดสินใจใดๆ ก็ยังมีสิ่งที่ทำให้ทุกฝ่ายต้องแปลกใจก็คือ เงื่อนไขแห่งปฏิญญาฉบับดังกล่าว กลับถูกนำเสนอโดยหนึ่งในชาวเฟซาเรียนที่ดูแลสายพันธ์มนุษย์ เพื่อยุติมหาสงครามและความขัดแย้งทั้งหมด พวกเขาเสนอแผนการสร้างจักรกลพลังงาน ที่มีอำนาจในการดูดซับพลังทางด้านลบทั้งหมดจากสายพันธ์มนุษย์ เพื่อที่จะควบคุมมิให้พวกเขาวิวัฒน์ขึ้นบนเส้นทางแห่งความรุนแรง โดยเรียกจักรกลดังกล่าวนั้นว่า ปฏิฆันทาราในภาษาของชาวมนุษย์ในยุคนั้น เพื่อเป็นการรับประกันว่า มนุษย์จะไม่เป็นสายพันธ์ที่ร้ายกาจเหมือนกับที่สมาชิกอีกฝ่ายหนึ่งมีความเชื่อและวิตกกังวล และเพื่อให้จักรกลนั้นทำงานได้ผล จึงต้องจำกัดขอบเขตของเหล่ามนุษย์ไว้ เป็นเหตุให้มนุษย์ต้องถูกกักไว้ในดาวเคราะห์ต้นกำเนิดของตนเป็นเวลาหนึ่งพันปี โดยถือเป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบ หากในระหว่างระยะเวลาดังกล่าว ไม่มีการเกิดสงครามรุนแรงใดๆ ในอารยธรรมของมวลมนุษย์ ทางสภาสูงก็จะทำการประเมินและนำคดีดังกล่าวนี้มาทำการวินิจฉัยกันใหม่หมด

ในตอนที่เงื่อนไขนี้ถูกนำเสนอต่อสภานั้น ชาวเทราอีสและกลุ่มผู้ต่อต้าน ล้วนเห็นด้วยในหลายประเด็น ประการแรกพวกเขาจะได้มีเวลาฟื้นฟูกำลังของพวกตนขึ้นใหม่ เพื่อรอคอยเวลาหลังหนึ่งพันปีผ่านไป ไม่ว่าปฏิฆันทาราจะใช้ได้ผลหรือไม่ก็ตาม และหากมันสามารถดูดซับพลังงานด้านลบจากจิตใจของมนุษย์ได้จริง ถึงตอนนั้นพวกเขาก็สามารถลอบทำลายมัน เพื่อปลดปล่อยพลังด้านลบให้ปะทุระเบิดออกอย่างฉับพลัน และนั่นย่อมทำให้พวกมนุษย์ได้ซึมซับพลังแห่งความชั่วร้ายอย่างสุดขั้วในเวลาอันสั้น เมื่อบวกรวมกับแรงกดดันที่ถูกกักขังนับพันปี พวกเขาย่อมลุกฮือขึ้นก่อสงครามปลดแอกตนเองอย่างแน่นอน และนั่นก็เป็นเหตุผลอันสมควรซึ่งมีน้ำหนักพอที่จะบังคับให้สภาสูงต้องตัดสินใจ ทำลายล้างเผ่าพันธ์มนุษย์ทั้งหมดในที่สุด ในขณะเดียวกันพวกนั้นยังเชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้น พวกตนจะสามารถฟื้นคืนพลังอำนาจและแสนยานุภาพที่เกรียงไกรพอที่จะมีอิทธิพลแทรกแซงการตัดสินใจของสภาสูงได้

ขณะที่ชาวเฟซาเรียนและกลุ่มผู้คัดค้านการทำลายล้างสายพันธ์มนุษย์ ก็ล้วนเห็นตรงกันว่า มันเป็นทางออกเพียงทางเดียว ที่จะช่วยซื้อเวลาทางรอดของมวลมนุษย์ อีกทั้งผลการต่อต้านของพวกมนุษย์ในมหาสงครามที่ผ่านพ้นไป ก็เป็นสิ่งที่สั่นคลอนความเชื่อถือของสมาชิกในหลายสายพันธ์ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า อารยธรรมมนุษย์ที่เพิ่งพัฒนามาได้ไม่นาน กลับสามารถตอบโต้และต่อต้านการตัดสินลงทัณฑ์ของสภาสูงได้อย่างอาจหาญและกร้าวร้าว พวกเขาทั้งหมดได้เห็นถึงพลังชีวิตและการดิ้นรนต่อสู้อย่างยิ่งยวด จนทำให้หลายสายพันธ์ที่เคยมีความเห็นใจต่อชะตากรรมของชาวมนุษย์ เริ่มไม่แน่ใจว่า หากปล่อยให้มนุษย์คงอยู่ต่อไป พวกเขาอาจกลายเป็นเภทภัยต่อความสงบสุขของทั้งจักรวาลหรือไม่

ยังดีที่ชาวเฟซาเรียนได้ชี้ให้กลุ่มที่เห็นด้วยกับตนส่วนใหญ่ เชื่อตรงกันว่า ชาวเทราอีสมีความเห่อเหิมทะเยอทะยานที่จะครองอำนาจ แม้ไม่มีชาวมนุษย์ สงครามก็คงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ตรงกันข้าม การอุบัติบังเกิดของสายพันธ์มนุษย์นี้เอง ที่จะกลายเป็นสิ่งต่อต้านขัดขวางการเคลื่อนไหวในแผนการใหญ่ของพวกเทราอีสและพวกได้ หากสามารถโน้มน้าวให้พวกมนุษย์มาเป็นพวก โอกาสชนะสงครามย่อมตกเป็นฝ่ายของพวกตนในที่สุด และสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกฝ่ายยังคงความเชื่อมั่นไว้ได้ก็คือ การรับรองของชาวเฟซาเรียน โดยมีฟาเซียริสหนึ่งในชนชั้นสูงของเฟซาร์ ซึ่งเป็นดังเทพเจ้าที่ชาวมนุษย์ให้ความเลื่อมใส ทั้งหมดจึงเชื่อว่า นางจะสามารถโน้มน้าวและเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพวกมนุษย์ได้ โดยที่ไม่มีผู้ใดระแคะระคายแม้เพียงน้อยนิด ถึงแผนการเบื้องหลังอันลึกลับซับซ้อน ที่ซ่อนเงื่อนงำอยู่ภายในจักรกลปฏิฆันทารา มันเป็นสิ่งที่ได้ถูกบรรจงสร้างขึ้นผ่านการวางแผนมาอย่างแยบยลนับพันปี และแล้วเวลานั้นก็มาถึง มหาตำนานแห่งโซรีเซียจึงเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ติดตามอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone04/blg01/main.php

Sunday, October 17, 2010

กลไกกลกรรม

ความจริงแล้วกฏแห่งกรรม ก็ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร เพราะไม่ต่างจากฏเกณฑ์ทางกลศาสตร์ทั่วไปในเรื่องแรงกระทำและแรงปฏิกิริยา กล่าวคือ เมื่อมีแรงกระทำต่อสิ่งใด ก็จะมีแรงปฏิกิริยาสนองตอบกลับมาในทางตรงกันข้ามเสมอ ยิ่งแรงกระทำมีมาก แรงปฏิกิริยาที่สะท้อนกลับก็จะมากตาม กฏแห่งกรรมหรือการกระทำ ก็เป็นเช่นเดียวกันนั้น เมื่อท่านกระทำกรรมต่อผู้หนึ่งผู้ใด หรือต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ย่อมได้รับผลของกรรมสนองตอบคืนกลับมา หนักเบาตามแรงของกรรมที่ท่านได้กระทำลงไปนั้น

เพียงแต่ที่อาจดูเหมือนซับซ้อนก็เพราะว่า มีเรื่องของผลกระทบจากสภาพแวดล้อมข้างเคียงเข้ามาร่วมประกอบ จากหลักความจริงที่ว่า ผูกพันเพียงหนึ่ง โยงใยนับอนันต์นั้น จึงทำให้การกระทำกรรมใดๆ ล้วนไม่มีผลกระทบในเชิงเดี่ยว แต่จะมีการกระทบกระเทือนต่อเนื่องกันไปเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ เหตุเพราะว่า แต่ละชีวิตนั้นมิได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง พวกเขาย่อมมีคนใกล้ชิดและญาติมิตร รวมไปถึงสัมพันธชนที่เขารู้จักมักคุ้น เมื่อกระทำกรรมต่อชีวิตเดียวจึงย่อมไม่ได้กระทบเฉพาะผู้ที่เรากระทำเท่านั้น แต่ย่อมส่งผลกระเทือนไปยังคนที่เกี่ยวข้องกับเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และนี่เองที่ทำให้กรรมทั้งหลาย ล้วนมีสภาพเป็นสหกรรมโดยปริยาย

การเรียนรู้เรื่องกรรมจึงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ของการกระทำกรรมนั้นๆ ด้วย และต้องยอมรับความจริงที่ว่า เป็นเรื่องยากที่จะไม่กระทำกรรมใดๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม โดยเฉพาะในโลกยุคนี้ที่สังคมมีความซับซ้อน และเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์โยงใยกันไปหมด กระแสการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ทำให้การส่งผ่านข่าวสารข้อมูลระหว่างกันอย่างสะดวกรวดเร็ว ก็ล้วนมีผลให้การทำกรรมในสังคมโลกปัจจุบัน มีผมกระทบที่รุนแรงและรวดเร็วขึ้นกว่ายุคสมัยเดิมๆ เป็นอันมาก ดังนั้นการกระทำใดๆ ในยุคนี้ จึงดูเหมือนว่า ส่งผลกระทบไปในวงกว้าง ทำให้ผลของกรรมนั้นสะท้อนกลับมาอย่างรวดเร็วและเห็นผลทันตา

ยกตัวอย่างเช่น คนที่ฆ่าคนตายนั้น หากเป็นสมัยก่อน กว่าจะจับได้ก็คงยากลำบากไม่น้อย และส่วนใหญ่ก็อาจจะหลบหนีการจับกุมไปได้ เพราะสังคมและประชากรยังไม่แผ่กว้างเหมือนในปัจจุบัน ทำให้ยังมีสถานที่หลบซ่อนได้มาก รวมไปถึงเทคโนโลยีหรือวิทยาการในการสืบสวนสอบสวนก็ยังไม่เจริญก้าวหน้าเหมือนในยุคนี้ แต่ถ้าเป็นในปัจจุบันโอกาสที่จะหนีพ้นก็มีได้น้อยกว่าเดิม แม้จะไม่ถึงกับไม่มี จึงทำให้ดูคล้ายกับว่า ฆาตกรผู้นั้นได้รับผลสนองของกรรมอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันเมื่อมีการพัฒนาวิทยาการไปมาก และสังคมก็เต็มไปด้วยการแข่งขัน จึงย่อมหลีกไม่พ้นที่จะเกิดความเครียดในหมู่ชน จนทำให้การก่ออาชญากรรมมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย

แน่นอนว่า การส่งผลของกรรมนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีหรือสภาพสังคมใดๆ ผู้ที่กระทำสิ่งใดไว้ย่อมหลีกไม่พ้นจากผลแห่งการกระทำของตน ที่ย้อนกลับมาตอบสนองไม่ช้าก็เร็ว และถ้าจะกล่าวกันตามตรง ก็ต้องบอกว่า การสนองผลของกรรมนั้นมีวงรอบที่แน่นอน ขึ้นกับความแรงของเจตนาในการกระทำ หากมีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะทำมาก ก็ย่อมทำให้เจตนามีกำลัง การกระทำกรรมลงไปด้วยเจตนาดังกล่าว ก็ย่อมได้รับผลของกรรมที่สนองตอบอย่างรุนแรงและรวดเร็ว คราวนี้จะขอยกตัวอย่างคนทำกรรมในแง่ดีบ้าง อาทิเช่น คนที่มุ่งมั่นตั้งใจขยันทำมาหากิน และรู้จักเก็บออม บริหารการใช้จ่ายอย่างเหมาะสม คนเหล่านี้ย่อมสามารถพบกับความสำเร็จ ในการยกฐานะของตนให้สูงขึ้นและมีความมั่งคั่งมั่นคงได้ในเวลาที่ไม่นานนัก ขึ้นกับกำลังของความมุ่งมั่นที่เขามีอยู่

ท่านจึงกล่าวว่า เจตนาหรือความตั้งใจในการกระทำ ก็คือตัวของกรรม และเป็นปัจจัยในการกำหนดผลของกรรมนั้นๆ ด้วย ในขณะเดียวกันหากมีคนหมู่มากเกิดมีเจตนาหรือความตั้งใจในการกระทำกรรมใดๆ สักอย่างหนึ่งแล้ว ผลของกรรมนั้นย่อมรุนแรงกว่าการกระทำด้วยคนเพียงคนเดียวเป็นธรรมดา และนี่เองที่เป็นที่มาของสหกรรม หรือกรรมหมู่ ที่กระทำด้วยคนมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป และเมื่อผลของกรรมย้อนกลับมาสนองแล้ว พวกเขาก็จะได้รับผลกรรมเหล่านั้นพร้อมๆ กันในเวลาเดียวกัน นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้กฏแห่งกรรมดูเหมือนซับซ้อน และยากที่จะคาดเดา ทั้งๆ ที่พื้นฐานของกฏเกณฑ์นี้ก็คือ ทุกการกระทำจะต้องได้รับผลของการกระทำสนองตอบอย่างแน่นอนเท่านั้น

จากที่บรรยายมาทั้งหมด คงจะพอทำให้ท่านทั้งหลายเห็นถึงความจำเป็นในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฏแห่งกรรมและการสนองผลของมัน เพราะดังที่กล่าวมาแล้วว่า ทุกชีวิตยากที่จะหลีกพ้นการกระทำกรรม เมื่อเกิดมาแล้วท่ามกลางสหสัมพันธ์ของสังคม และสภาพแวดล้อมรอบด้าน ทุกย่างก้าวจึงล้วนยากที่จะหลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ และการเบียดเบียนซึ่งกันและกันก็เป็นธรรมชาติประการหนึ่งของโลกียะ แม้เรานั่งอยู่เฉยๆ ดูเหมือนไม่ได้ทำอะไร แต่เชื้อโรคหรือสิ่งมีชีวิตเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ก็อาจกำลังกัดกร่อนร่างกายของเราไปทีละน้อย ขณะเดียวกันบางครั้งแค่เรานั่งฟังข่าว และนึกเกลียดชังหรือสาบแช่งผู้ใดไว้ในใจ นั่นก็เป็นการกระทำกรรมทางด้านความคิด หรือมโนกรรมไปเรียบร้อยแล้ว และกรรมเหล่านี้จะมากหรือน้อยก็ล้วนมีผลของมันรอตอบสนองเราอยู่ทั้งสิ้น ดังพุทธพจน์ที่กล่าวไว้ว่า อุจจาระแม้นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็มีกลิ่นเหม็น กรรมก็เช่นกันจะมากหรือน้อยก็ย่อมต้องมีผลตอบสนอง

จึงอาจกล่าวได้ว่าปัญหาที่มีอยู่ในชีวิตทั้งหมด ที่ดูเหมือนจะหาสาเหตุไม่ได้นั้น แท้ที่จริงก็ล้วนมาจากกรรมที่เราไม่ได้คาดคิดว่าได้กระทำลงไป เอาแค่กรรมปัจจุบันหรือกรรมในอดีตนับแต่เราเกิดมาในชาติปัจจุบันก็พอ ยังไม่ต้องเจาะลึกไปยังอดีตชาติที่ยากจะพิสูจน์ได้ เพราะเพียงแค่นี้ก็สามารถสร้างปัญหาความยุ่งยาก หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างมีนัยสำคัญทั้งสิ้น หนังสือเล่มนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อหาคำตอบสำหรับการขยายความในเรื่องของกรรมทั้งหลาย เป็นการเปิดโลกทัศน์ในแง่มุมที่หลากหลายมากขึ้น และช่วยให้ท่านผู้อ่านได้ตระหนักรู้และมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของกรรมได้อย่างกว้างขวางและมีความชัดเจน จนสามารถดำรงตนอย่างเหมาะสมต่อสถานภาพของตนในกาลต่อไป

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone03/blg02/main.php

Monday, October 4, 2010

Destiny talk

ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่มีประสบการณ์อยู่ในแวดวงของนักโหราศาสตร์ มาเป็นเวลานานพอสมควร แม้จะมิใช่ผู้ที่ประกอบอาชีพด้านนี้โดยตรง แต่ด้วยความสนใจส่วนตัว จึงเฝ้าติดตามศึกษามาโดยตลอด ด้วยประเด็นแรกเริ่มที่จุดประกายให้ผู้เขียนหันมาสนใจในเรื่องโหราศาสตร์ก็คือ ทำไมการทำนายทายทักพยากรณ์ หรือการนำไปใช้ปรับแก้ชะตาชีวิตของผู้คน ในแต่ละหลักวิชา จึงดูเหมือนว่าเป็นผลได้น้อย ทั้งที่แต่ละวิชาก็ล้วน มีหลักการที่ชัดเจน และล้วนมีพื้นฐานอยู่บนหลักวิชาสถิติสมัยใหม่ โดยผ่านการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์วิจัยอย่างเป็นขั้นตอนมาหลายชั่วคน จนได้สูตรหรือกฏเกณฑ์ที่ตายตัวระดับหนึ่ง ซึ่งน่าจะใช้งานได้จริง

เมื่อเกิดคำถามขึ้นย่อมต้องแสวงหาคำตอบ ผู้เขียนจึงเริ่มเข้ามาทำการศึกษาหลักวิชาต่างๆ ของโหราศาสตร์อย่างจริงจัง เพราะต้องการรู้ให้ได้ว่า อะไรเป็นอุปสรรคขัดขวางที่ทำให้หลักวิชาเหล่านี้ไม่สามารถแสดงศักยภาพในตัวเองได้อย่างเต็มที่ และหลังจากได้ติดตามศึกษามาร่วมนับสิบๆ ปี ผู้เขียนก็เริ่มมองเห็นสารัตถะความจริงหลายประการ ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจในวิชาโหราศาสตร์และการพยากรณ์ทั้งหลาย เผื่อว่าทุกท่านจะได้ตระหนักรู้ว่า การจะใช้วิชาโหราศาสตร์ให้เกิดผลอย่างจริงจังนั้น ท่านต้องรู้อะไรบ้าง และต้องทำอย่างไร จึงจะได้ผลตามที่คาดหวังไว้

และด้วยเหตุดังกล่าว ผู้เขียนจึงขอถือโอกาสใช้บทความสำหรับตอบคำถามนี้ ซึ่งผู้เขียนได้รับมอบหมายให้เป็นคนบรรยายเนื้อหาทั้งหมด เพื่อพยายามนำเสนอคำตอบแก่ทุกท่านที่สนใจจะใช้วิชาโหราศาสตร์ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ที่ทำอาชีพด้านนี้หรือเป็นเพียงผู้ที่สนใจ ชอบไปปรึกษาหารือกับนักพยากรณ์เป็นปกติ ตลอดถึงท่านที่เพิ่งหันมาศึกษาเรียนรู้ในหลักวิชาอันหลากหลายภายใต้สาขาของศาสตร์แห่งการพยากรณ์นี้ เผื่อว่าจะได้ใช้เป็นข้อมูลประกอบในการศึกษาเรียนรู้ หรือแม้แต่การนำไปใช้งานจริง โดยผู้เขียนจะพยายามถ่ายทอดสุดความสามารถ จากประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมาตลอดเวลาหลายสิบปี ทั้งนี้ก็ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าว่า ผู้คนในสังคมจะได้ประโยชน์จากวิชาโหราศาสตร์อย่างแท้จริง

มีสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนใคร่จะขอพูดถึงเป็นการเฉพาะ ก่อนที่ท่านจะเข้าไปอ่านบทความของผู้เขียน นั่นคือ ทุกเรื่องราวที่ผู้เขียนจะนำมาเสนอนี้ ให้ถือว่าเป็นเพียงข้อมูลความคิดเห็นส่วนบุคคลเบื้องต้น แม้ว่าบางส่วนจะมีการยกข้อความของผู้รู้ที่น่าสนใจ ก็ขอให้ถือว่าเป็นมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าของข้อมูลแต่อย่างไร ทั้งนี้ก็เพื่อให้ทุกคนได้สบายใจว่า ข้อมูลความรู้ที่จะได้ไปนั้น เป็นเหมือนการพูดคุยกันฉันเพื่อน มิมีอะไรที่มุ่งหมายจะต้องยืนยันข้อเท็จจริงกันอย่างเอาเป็นตาย ทั้งไม่ประสงค์การพิสูจน์ใดๆ ตามนโยบายของทางเว็บไซท์ดาวแปด ที่เน้นให้ผู้เขียนทุกท่านต้องบอกกล่าวไว้แก่ผู้อ่าน ซึ่งผู้เขียนก็เห็นด้วยตามนั้นอย่างเต็มที่ เอาเป็นว่าทุกสิ่งที่ผ่านตาท่านจากนี้ไปในบทความส่วนของผู้เขียน ก็ขอให้ถือเสียว่า เหมือนมีคนมาบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างให้ฟัง สิ่งที่ท่านต้องทำ ก็แค่เพียงฟังหูไว้หู เผื่อประดับความรู้ไว้เท่านั้น

ส่วนท่านที่สนใจศึกษาเรียนรู้ในเรื่องของศาสตร์พยากรณ์เหล่านี้อย่างจริงจัง ผู้เขียนก็ยินดีที่จะเสนอแนะให้ท่านนำไปทดลองปฏิบัติ หรือใช้งานจริง เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่จะใช้ประโยชน์จากบทความของผู้เขียนได้อย่างจริงจัง ส่วนว่าเมื่อท่านได้ลองนำไปใช้แล้ว ได้ผลเป็นประการใด จะลองเมลล์มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันก็ยินดี และสำหรับท่านที่ชอบไปหาหมอดู เพื่อให้ช่วยทำนายทายทักชะตาชีวิตให้ เมื่อมาอ่านบทความของผู้เขียนแล้ว ก็หวังว่า จะเป็นเพียงการเพิ่มเติมข้อมูลใหม่ๆ ให้ท่านรับรู้ไว้ มิได้มีจุดประสงค์ที่จะเจตนาหยุดยั้งหรือห้ามปราม มิให้ท่านกระทำในสิ่งที่ชอบ ยิ่งไม่มีวัตถุประสงค์จะไปขัดขวางการประกอบอาชีพหรือการทำมาหากินของผู้ใดทั้งสิ้นด้วย

เพียงแต่ว่า ก่อนที่ท่านจะไปรับการพยากรณ์นั้น เมื่อได้ทราบข้อมูลที่ผู้เขียนนำเสนอให้ ท่านก็จะได้ทำใจเตรียมพร้อมไว้ระดับหนึ่ง เมื่อได้รับคำพยากรณ์ในทางที่ดี ก็จะได้ไม่ต้องตื่นเต้นดีใจจนเกิดเหตุ หรือเมื่อพบเจอกับคำพยากรณ์ในทางที่ไม่ดี ก็ไม่ต้องตื่นตระหนกเสียขวัญโดยใช่ที่ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ในดีมีเสีย ในเสียมีดี หรืออย่างที่เขามักจะพูดกันว่า ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสรอคอยอยู่ ดังนั้นทุกคำพยากรณ์ จึงเป็นเหมือนคำเตือนมากกว่า เพื่อให้เรารู้เส้นทางในการดำเนินไปของชะตาชีวิตในวันข้างหน้า บอกให้เรารู้ว่ามีอะไรบ้างที่รอคอยเราอยู่ เพื่อที่เราจะได้เตรียมพร้อมรับมือกับมันได้ด้วยความไม่ประมาทเท่านั้น

อนึ่ง คำตอบหรือบทความทั้งหมดที่ผู้เขียนจะถ่ายทอดนับจากนี้ไป ก็ขอให้ถือเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นฉันมิตรระหว่างกัน ผู้รู้ใดที่มีความคิดเห็นแปลกแยกแตกต่างออกไป ด้วยหลักแห่งเหตุแลผลที่ปราศจากอคติ ผู้เขียนก็ยินดีจะแลกเปลี่ยนพูดคุยด้วย โดยท่านสามารถติดต่อผ่านเข้ามาทางเว็บไซท์ WWW.DAOW8.COM แห่งนี้ รวมไปถึงบรรดาท่านที่มีข้อสงสัยกังขาในเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับศาสตร์พยากรณ์ทุกสาขา ก็สามารถส่งเมลล์สอบถามเข้ามาได้เช่นกัน โดยผู้เขียนจะพยายามค้นหาคำตอบที่น่าพึงพอใจ พร้อมด้วยเหตุผลและข้อมูลหลักฐานอ้างอิงประกอบมาช่วยไขข้อข้องใจของทุกๆ ท่านให้อย่างสุดความสามารถ

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone03/blg03/main.php

Thursday, September 16, 2010

สนทนายามสายันต์

คงเป็นสิ่งที่ปฏิเสธได้ยากว่า แม้แต่ในยุคปัจจุบันที่วิทยาศาสตร์มีความเจริญก้าวหน้าไม่หยุดนิ่ง โดยดูได้จากวิทยาการหรือเทคโนโลยีต่างๆ ที่ได้รับการพัฒนาออกมา ในรูปแบบของอุปกรณ์เครื่องใช้ ที่ล้วนเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของพวกเราอย่างไม่อาจจะแยกออกจากกันได้ หรืออาจกล่าวอีกนัยก็คือไม่สามารถขาดได้นั่นเอง แต่ถึงกระนั้น คำถามทั้งหลายเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย หรือเรื่องราวของโลกวิญญาณ ก็ยังคงไร้คำอธิบายที่ชัดเจนแบบเป็นรูปธรรม หรือที่เรียกได้ว่า ไม่เป็นที่ยอมรับในแวดวงของวิทยาศาสตร์ จนถึงขั้นที่อาจปฏิเสธไปเลยด้วยซ้ำว่า เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์

มันเป็นการง่ายที่จะขจัดสิ่งที่ตนเองไม่สามารถทำความเข้าใจ หรือหาคำอธิบายที่เหมาะสมด้วยบริบทแห่งทฤษฎีที่ตนเองยึดถืออยู่ แต่มันยากกว่าที่จะทำใจเป็นกลาง และเปิดใจกว้างออกยอมรับข้อมูลเหล่านั้นมาประกอบการพิจารณา หากทฤษฎียังไม่สามารถอธิบายได้ในปัจจุบัน ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีคำอธิบายที่มีเหตุผลในอนาคต เมื่อทฤษฎีก็เป็นเพียงแนวคิดล่าสุด ที่ถูกใช้ในการอธิบายสิ่งต่างๆ ที่ทฤษฎีรองรับได้ และเป็นที่ยอมรับของผู้คนในวงการ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่ความจริงอันสมบูรณ์หรือสัจจะขั้นสุดยอดที่จะไม่ถูกแปรเปลี่ยนอีกต่อไป ดังนั้นการยึคติดอยู่กับสิ่งที่ตนเชื่อถือ แล้วปฏิเสธสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ จึงง่ายกว่าในแง่ของการกำจัดปัญหาออกไป แต่มันไม่ก่อประโยชน์ใดๆ ทั้งต่อตัวของคนที่มีความคิดเช่นนั้น หรือต่อคนอื่นโดยส่วนรวมทั้งหลาย

การเปิดใจยอมรับว่า สิ่งที่ไม่อาจหาคำอธิบายได้อย่างเป็นรูปธรรม ก็เป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มข้อมูลที่จะถูกนำมาพิจารณาหรือเรียนรู้อย่างจริงจังต่อไป หาใช่สิ่งที่ไร้สาระโดยสิ้นเชิง ผ่านการตัดสินจากแค่เพียงความไม่รู้ของตนเองเท่านั้น การทำใจเป็นกลางๆ ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่ก็ไม่ถึงกับสรุปลงไปตายตัวว่าไม่เชื่อ ขอเพียงทำใจสบายๆ และเปิดกว้างออกรับรู้ข้อมูลและประสบการณ์ที่จะผ่านเข้ามาจากการทดสอบทดลองสารพัดวิธีอย่างมีระบบ ผู้เขียนก็เชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วท่านย่อมจะได้รับทราบข้อเท็จจริงด้วยตัวเองตามสมควร

แต่จะอย่างไรก็ตาม บทความนี้คงมิได้มีจุดประสงค์ที่จะนำเสนอวิถีทางพิสูจน์ในเรื่องราวใดๆ ที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ให้การยอมรับอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะเรื่องของชีวิตหลังความตาย หรือที่รู้จักกันในนามของโลกวิญญาณ ซึ่งคนส่วนใหญ่เชื่อกันว่า เป็นที่ดำรงอาศัยอยู่ของเหล่าภูติผีปีศาจ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันสยดสยอง น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง เป็นที่หวาดกลัวของบรรดาผู้คนในโลกมนุษย์แม้ในยุคที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าล้ำยุคถึงเพียงนี้ สาเหตุหนึ่งที่น่าจะเป็นข้อสังเกตุก็คือ ความหวาดกลัวทั้งหลายทั้งปวงที่ผู้คนมีต่อเรื่องของโลกวิญญาณนั้น ก็ล้วนมาจากความไม่รู้ หรือการไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตลอดถึงความเป็นอยู่ของพวกเขาในโลกเหล่านั้น นี่จึงน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่อยู่เบื้องหลังความหวาดกลัวของผู้คนทั้งหลายนั้น

จุดประสงค์ของบทความนี้ จึงต้องการจะเป็นอีกหนึ่งช่องทาง หรือปากเสียงที่จะสื่อความถ่ายทอดเรื่องราวบางแง่บางมุมของโลกวิญญาณมาให้ท่านผู้อ่านที่สนใจได้รับรู้ แต่เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งใดๆ ที่อาจจะมีขึ้นจากกรอบของคติความเชื่อใดๆ ในสังคม ผู้เขียนจึงจำต้องนำเสนอไว้ในรูปของนวนิยาย ในแนวเรื่องเล่า ผ่านพิธีกรผู้จัดรายการ Twillight Talk หรือ สนทนายามสายันต์ ที่ถ่ายทอดตรงมาจากโลกวิญญาณ เชิญทุกท่านได้ติดตามไปกับการดำเนินรายการของ เอิร์นนิ่ง เฮลล์ พิธีกรคนดังจากดินแดนหลังความตาย ตามเขาไปรับรู้เกี่ยวกับความเป็นอยู่ และบทบาทที่พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกแห่งชีวิตก่อนความตาย ที่เราท่านอาศัยอยู่

อนึ่ง เพื่อความสบายใจของท่านผู้อ่านทุกชาติศาสนา ผู้เขียนจึงต้องขอออกตัวว่า เรื่องเล่าเหล่านี้เป็นเพียงเนื้อหาสำหรับเสพเพื่อความบันเทิงเท่านั้น มิได้มีเจตนาใดๆ ที่จะก้าวล่วงหลักธรรม ปรัชญา หรือคติความเชื่อของลัทธินิกายใดๆ ทั้งสิ้น ขอให้ทุกท่านได้โปรดทำความเข้าใจกันตามนี้ เพื่อที่ท่านจะได้ร่วมติดตามการดำเนินรายการของพิธีกรคนดังได้อย่างเปี่ยมอรรถรส และสามารถดื่มด่ำกับทุกบรรยากาศ และความรู้สึกได้อย่างเต็มที่ โดยไร้กรอบข้อจำกัดหรือขีดขั้นใดๆ อันอาจจะขัดขวางความบันเทิงที่พึงมีพึงได้โดยไม่จำเป็น

การดำเนินรายการของเอิร์นนิ่ง เฮลล์ ถูกวางไว้ในหลากหลายลีลา ทำให้รายการสนทนายามสายันต์นั้น ปิ่มๆ จะเข้าข่ายของรายการวาไรตี้โชว์ เพียงแต่จะเน้นไปที่เรื่องราวสยองขวัญสั่นประสาท ในมุมมองของผู้อ่านชาวมนุษย์ ซึ่งสำหรับชาวโลกวิญญาณแล้ว เรื่องเล่าเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากการพูดคุยเรื่องราวในชีวิตประจำวันของพวกเขาเท่านั้น หาได้มีความประหลาดพิสดารใดๆ ดังนั้น ในบางแง่มุมของรายการจึงอาจปรากฏอารมณ์ขันแบบชาวโลกวิญญาณ ซึ่งท่านผู้อ่านอาจจะไม่รู้สึกตามไปด้วย ก็มิเป็นไร เพราะจุดประสงค์ของผู้เขียนและผู้จัดทำรายการดังกล่าวนั้น ต้องการเพียงนำเสนอเรื่องราวในมุมมองจากซีกฝั่งของชีวิตหลังความตายบ้าง เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ทุกท่านยังไม่คุ้นเคย เลยพาลไม่เข้าใจ หรือไม่กล้าที่จะทำความเข้าใจกันไปด้วยซ้ำ

ท้ายสุดนี้ผู้เขียนก็ยังหวังในความใจกว้างของท่านผู้อ่านทั้งหลาย ก่อนที่จะพลิกไปอ่านเนื้อเรื่องหรือติดตามชมรายการของพวกเรา ทั้งนี้ก็เพื่อความเข้าใจที่ท่านผู้อ่านอาจจะได้รับจากการติดตามเรื่องราวทั้งหมดนี้ และมันจะทำให้ความรู้สึกของท่านกับพวกเราชาวโลกวิญญาณ ไม่ห่างไกลเกินกว่าจะเชื่อมโยงถึงกันได้ จงจำไว้เสมอว่า โลกแห่งชีวิตหลังความตาย ก็ไม่ต่างจากโลกที่พวกท่านอาศัยอยู่ มันอาจจะเหมือนด้านทั้งสองของเหรียญเดียวกัน ที่กำลังหมุนวนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นมิติภพของมนุษย์ หรือชาวโลกหลังความตายทั้งหลาย ต่างก็ไม่ได้มีความแปลกแยกออกจากกันแต่ประการใด และแท้จริงแล้วธรรมชาติของพวกเราทั้งสองโลกก็ล้วนเป็นเพียงดวงวิญญาณที่ร่อนเร่สัญจรกันไปอย่างไร้จุดหมายปลายทางทั้งสิ้น แล้วท่านอาจจะพบว่า ช่องว่างระหว่างพวกเรานั้นน้อยกว่าที่ท่านคิดไว้แต่แรกมากมายนัก กระทั่งว่า ต่างฝ่ายอาจต่างรายล้อมอยู่รายรอบซึ่งกันและกันตลอดเวลาด้วยซ้ำไป

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.firenine.com/zone12/blg01/main.php

Thursday, September 9, 2010

คัมภีร์ถอดรหัส 1 : ผู้ปรับชะตา

หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นด้วยความพยายามที่จะตอบโจทย์ เกี่ยวกับการไขรหัสแห่งความเร้นลับของชีวิตที่ซ่อนเร้นอยู่ในเส้นทางแห่งกาลเวลา ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยอิงอาศัยข้อมูลเชิงสถิติที่ได้จากการเฝ้าสังเกตุและเก็บบันทึกข้อมูลของบรรดาผู้คนหลายชั่วรุ่น กระทั่งได้เป็นสูตรสำเร็จหรือกฏเกณฑ์ที่เพียงพอจะพยากรณ์เหตุการณ์ซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งคำชี้แนะในการปรับเปลี่ยนแก้ไขชะตากรรมให้ดำเนินไปบนหนทางที่ถูกต้อง และกลมกลืนกับวิถีของธรรมชาติ เพื่อช่วยให้ชีวิตได้พบกับความสงบสุขตามอัตตภาพของแต่ละบุคคล

ส่วนการที่เรียกขานเป็นคัมภีร์ ก็เนื่องมาจากเนื้อหาอันหลากหลาย ที่เกิดขึ้นจากความพยายามในการผนวกรวมเอาสรรพศาสตร์และวิชา ที่จะถูกใช้ในการถอดรหัสของชะตากรรม มารวบรวมเรียบเรียงเอาไว้ในที่เดียว โดยผ่านประสบการณ์การที่ได้จากการศึกษาเรียนรู้ และการลงมือปฏิบัติในสถานการณ์จริง เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาค้นคว้า สำหรับผู้อ่านที่มีความสนใจในศาสตร์แห่งการอ่านและปรับชะตาทั้งหลายนี้ ซึ่งหลายคนคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว ในนามของโหราศาสตร์ แต่ที่ไม่พยายามเรียกขานเช่นนั้น เป็นเพราะผู้เขียนต้องการก้าวให้พ้นออกไปจากกรอบความคิดเดิมๆ ที่นักโหราศาสตร์ทั่วไปดำเนินอยู่ เนื่องจากธรรมชาติมีความหลากหลายและแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ศาสตร์ที่มีอยู่เดิมจึงจำต้องผ่านการปรับแก้ให้ถูกต้องและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในโลกยุคปัจจุบัน

โดยผู้เขียนจะพยายามให้ข้อมูลในเชิงลึก เพื่อที่ผู้อ่านจะสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนกรรมวิธีในการคำนวณ การสังเกตุ การตรวจสอบ และการแปลรหัสความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในธรรมชาติภาวะเหล่านั้น เพื่อให้ได้กระบวนการที่สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เป็นจริง ไม่ใช่เป็นเพียงการท่องจำสูตรแบบเดิมๆ ที่มักจะมีการถ่ายทอดไว้ในหลายกรณี เนื่องจากสังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จนบางครั้งข้อมูลเชิงสถิติดั้งเดิม ซึ่งเก็บกันมาหลายชั่วรุ่นอาจกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยและไม่อาจใช้งานได้จริง ส่งผลให้ไม่สามารถใช้อ่านและถอดรหัสชะตากรรมได้อย่างถูกต้อง เมื่อโลกที่แท้มีสภาพที่แปรปรวนไม่หยุดนิ่ง ศาสตร์แห่งการพยากรณ์และการปรับชะตาเหล่านี้ จึงจำต้องมีพลวัตรในการปรับเปลี่ยนตัวเองให้สามารถก้าวทันยุคสมัยมากยิ่งขึ้น

การบูรณาการองค์ความรู้จากกรรมวิธีอันหลากหลายนั้น ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ เนื่องจากว่าการถอดรหัสของชะตากรรมนั้น จะต้องหาทางประมวลเอาข้อมูลทั้งหมดที่มีอิทธิพลหรือมีนัยสำคัญต่อผังชะตาที่ต้องการวิเคราะห์ มารวมกันไว้ให้ครอบคลุมมากที่สุด ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ตรวจสอบได้อย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในการถอดรหัสข้อมูลทั่วไป เพราะยิ่งมีตัวอย่างของข้อมูลมากขึ้นเพียงใด ก็จะทำให้สามารถหาความสัมพันธ์ในการถอดรหัสข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องและตรงตามความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

มีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องจดจำให้ขึ้นใจไว้ก็คือ นักถอดรหัสที่เก่งจะต้องเป็นนักสังเกตุการณ์ที่ยอดเยี่ยมด้วย เพราะความสัมพันธ์ระหว่างงข่าวสารข้อมูลทั้งหมดนั้น ส่วนหนึ่งจะได้มาจากความแหลมคมในการเฝ้าติดตามการเลื่อนไหลของกระแสข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อหาทางประเมินให้ได้ว่ามีทิศทางการเคลื่อนไหวไปยังที่ใด และมีการแปรเปลี่ยนในช่วงจังหวะหรือท่วงทำนองใดบ้าง ความจริงกระบวนวิธีเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไร เพราะบรรพชนก็ดำเนินการมาในรูปแบบเดียวกันนี้ เพียงแต่ปัจจุบันการประมวลผลข้อมูลปริมาณมหาศาลนั้น สามารถกระทำได้อย่างสะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น โดยผ่านเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ ทั้งในการจัดระบบของข้อมูล การคำนวณ และการวิเคราะห์หรือการแปรความหมายของผลที่ได้รับ โดยเริ่มต้นที่หลักการดั้งเดิมซึ่งโบราณชนทั้งหลายได้กำหนดเป็นกฏเกณฑ์ไว้ให้ แล้วนำมาผสมผสานหรือประยุกต์เข้ากับข้อมูลความเป็นจริง ที่ได้จากการสังเกตุและเก็บรวบรวมเพิ่มเติม เพื่อสร้างเป็นหลักการใหม่ที่จะสามารถใช้ไขรหัสและอธิบายข้อเท็จจริงทั้งหมดได้อย่างถูกต้อง และครอบคลุมสถานการณ์ต่างๆ ได้มากที่สุด

อ่านมาถึงตรงนี้ ทุกท่านคงพอจะทำความเข้าใจได้ระดับหนึ่งแล้วว่า สรรพศาสตร์ทั้งหลายในโลกล้วนมีความเป็นพลวัตร คือเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นไปตามกฏแห่งการวิวัฒน์ตนเองทางอารยธรรมของสังคม ซึ่งย่อมส่งผลกระทบในมุมกว้าง ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ที่กลายมาเป็นพื้นฐานในการสร้างผลิตภัณฑ์นานาชนิด และตัวผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็เข้าไปมีบทบาทและปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คน จนท้ายที่สุดก็ย่อมจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของสังคมในภาพรวมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และเมื่อการดำเนินชีวิตของผู้คนแปรเปลี่ยนไป ก็ย่อมส่งผลต่อพฤติกรรม แนวคิด และมโนคติของพวกเขาเหล่านั้น จนอาจทำให้สูตรสำเร็จหรือกฏเกณฑ์ต่างๆ ที่ได้มาจากข้อมูลเชิงสถิติในอดีต ไม่อาจใช้ได้ทั้งหมด และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ คัมภีร์ผู้ถอดรหัสชะตากรรมเล่มนี้ ต้องดำเนินอยู่บนหนทางแห่งการเปลี่ยนแปลง เพื่อปรับเปลี่ยนกฏเกณฑ์ต่างๆ ทางโหราศาสตร์ดั้งเดิม ให้มีความทันยุคสมัยมากขึ้น

ท้ายสุดนี้ ผู้เขียนก็ต้องขอออกตัวว่า มิใช่ผู้รู้ที่ทรงภูมิปัญญาในด้านนี้เหนือกว่าผู้ใด และเชื่อแน่ว่าย่อมมีผู้รู้ที่เหนือกว่าผู้เขียนอยู่อีกมาก ดังนั้นสิ่งที่ผู้เขียนนำมาถ่ายทอดนี้ จึงขอให้ถือเป็นเพียงภาคขยายส่วนเล็กๆ ของศาสตร์แห่งการพยากรณ์ทั้งหลาย เป็นการนำเสนอแง่มุมความคิด และโลกทัศน์เกี่ยวกับการใช้วิชาพยากรณ์แต่ละสาขา ด้วยทัศนะที่อาจจะแตกต่างออกไปบ้าง ในฐานะผู้ที่สนใจติดตามศึกษาค้นคว้าศาสตร์แห่งการพยากรณ์มากว่าสิบปี ผู้เขียนจึงได้พบเห็นข้อเท็จจริงในหลายกรณีที่ไม่เป็นไปตามกฏเกณฑ์ดั้งเดิมเหล่านั้น จึงทำให้ผู้เขียนต้องทำการปรับแต่งสูตรการคำนวณและหลักเกณฑ์บางส่วนบ่อยครั้ง เพื่อให้มีความสอดคล้องและสามารถอธิบายสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง เรื่องนี้ต้องถือว่าสำคัญมาก เพราะหากการถอดรหัสไม่ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนเพียงพอ ก็ย่อมจะนำไปสู่การปรับแก้ที่ผิดพลาด จนอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่เดิม

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone03/blg01/main.php

Saturday, September 4, 2010

ไขรหัสลับปริศนา

มีคำถามมากมายสำหรับผู้ที่ไม่สามารถก้าวพ้นออกไปจากสัมผัสปกติของมนุษย์ มันทำให้พวกเขาเฝ้าวนเวียนสืบค้นหาคำตอบอยู่ตลอดเวลานับแต่อดีตกาลจวบจนปัจจุบัน ที่สำคัญคือ หากพวกเขายังคงใช้สมมติฐาน ในการศึกษาค้นคว้าบนพื้นฐานแห่งสามัญสำนึกปกติที่พวกเขาคุ้นเคยแล้ว สิ่งที่พวกเขาจะพบก็คงมีเพียงปรากฏการณ์ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตอันจำกัดของสำนึกเหล่านั้น ไม่อาจก้าวพ้นออกไปยังฐานความรู้ร่วมของจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างแท้จริง

บันทึกฉบับนี้จึงเกิดขึ้นพร้อมความพยายามที่จะชี้ประเด็นให้ผู้คนเหล่านั้น ได้เปิดมุมมองโลกทัศน์ออกไปจากวิสัยภาวะปกติที่พวกเขาดำรงอยู่ แม้มันจะไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์พร้อม แต่ก็น่าจะช่วยสะกิดเตือนให้พวกเขาได้เปิดโลกทัศน์ ออกมองหาความจริงของธรรมชาติในแง่มุมที่แตกต่างไปจากเดิม เผื่อว่าบางทีพวกเขาอาจจะสามารถค้นพบหนทางใหม่ๆ ในการเข้าถึงขุมปัญญาแห่งความรู้ ซึ่งจะสามารถให้คำตอบในสิ่งที่พวกเขาต้องการ

หลายๆ บทความในบันทึกฉบับนี้ ผู้เขียนได้นำเอาข่าวสารข้อมูลที่ได้รับมา จากแหล่งข่าวสารต่างๆ ที่หลายเรื่องล้วนอยู่พ้นออกไปจากสามัญสำนึกปกติ และยากที่จะอธิบายให้เกิดความแจ้งชัดในทีเดียว เพราะมันเป็นความรู้ที่ได้มาจากส่วนอื่น หรืออาจกล่าวได้ว่ามาจากมิติภาวะอื่นๆ ในจักรวาล และเมื่อผู้อ่านไม่มีความรู้พื้นฐานที่เหมาะสม จึงย่อมไม่อาจทำความเข้าใจได้ทั้งหมด แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์หลักของบันทึกฉบับนี้ กล่าวคือมิได้มุ่งหวังให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในทันที เพียงแต่ต้องการเปิดประเด็นความคิดเห็น ให้ผู้อ่านได้รับรู้ข่าวสารในแง่มุมที่แตกต่างออกไปจากปรากฏการณ์ปกติสามัญ ซึ่งทุกคนล้วนได้สัมผัสอยู่ทุกวี่วัน

ข่าวสารหลายส่วนที่ได้นำเสนอในบทความหรือบันทึกชุดนี้ จะถูกนำเสนอในลักษณะที่เป็นประเด็นแง่คิด ให้ผู้อ่านนำไปลองพิจารณาตามด้วยมโนคติที่ผู้อ่านแต่ละท่านมีอยู่ โดยในเรื่องนี้ผู้เขียนต้องการให้คำแนะนำบางอย่าง สำหรับการอ่านบันทึกชุดนี้ให้สนุกและไม่เคร่งเครียดจริงจังจนเกินไป ผู้อ่านควรทำใจให้เป็นกลางๆ ไม่ต้องตั้งความมุ่งหมายว่า กำลังอ่านสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งยวดแต่ประการใด ให้คิดเสียว่า เหมือนกำลังอ่านหนังสือนวนิยายเพื่อความบันเทิงสักเล่ม แล้วค่อยติดตามผู้เขียนไปทีละขั้นตอน ท้ายสุดแล้วท่านจะรู้สึกอย่างไรต่อบทความเหล่านี้ก็สุดแล้วแต่ หากถามว่าผู้เขียนมีความคาดหวังใดต่อผลตอบสะท้อนของผู้อ่าน ก็ต้องขอบอกว่า เพียงทำให้ท่านอ่านแล้วสนุกก็น่าจะเกินพอแล้ว

ที่สำคัญบทความหลายเรื่องหลายตอนในบันทึกชุดนี้นั้น ผู้เขียนก็ยอมรับว่า ค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่เป็นวิชาการอยู่ไม่น้อย ดังนั้นหากผู้รู้ที่เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ มาอ่าน ก็สุดแล้วแต่ว่า ท่านจะเห็นประโยชน์จากเนื้อหาในบทความนั้นๆ มากน้อยเพียงใด และอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น จุดประสงค์ของการเขียนบทความเหล่านี้ คือการเสนอข้อมูลข่าวสารมุมมองใหม่ๆ ที่ผู้เขียนพยายามจะคัดสรรเฉพาะที่ค่อนข้างจะแตกต่างออกไป และอาจจะหาอ่านได้ไม่ง่ายนัก ดังนั้นเมื่อเป็นเพียงการเสนอแง่มุมแบบใหม่ของความคิด ท่านผู้รู้ทั้งหลายจึงสามารถนำไปพิจารณาครุ่นคิดเพื่อต่อยอดข้อมูลเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์ต่อไปได้ โดยที่ผู้เขียนมิได้สงวนสิทธิ์ในส่วนเพิ่มขยายที่เกิดจากตัวท่านแต่ประการใด ในทางตรงกันข้ามกลับรู้สึกยินดี ที่จะมีส่วนในการสร้างสรรค์ความคิดหรือทฤษฎีใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป

ในส่วนของประเภทหรือแนวของเนื้อหาสาระที่จะนำเสนอนี้ ก็ต้องบอกว่าค่อนข้างหลากหลาย แรงบันดาลใจหรือจุดมุ่งหมายในการเขียนส่วนใหญ่ จะมาจากคำถามของคนรอบข้าง และท่านผู้อ่านที่แวะเวียนเข้ามาในเว็บไซท์ของดาวแปดดอทคอม และได้ฝากคำถามกันไว้ หลายๆ คำถามมีความซ้ำซ้อนและใกล้เคียงกัน เมื่อทางเว็บไซท์ดาวแปดเห็นว่า มีผู้คนจำนวนมากต้องการทราบ ส่วนหนึ่งจะถูกนำไปตอบไว้ใน Forum แต่เนื่องจากเป็นการตอบคำถามที่หลากหลาย จึงไม่สามารถลงในรายละเอียดได้ แต่จะทำการให้ข้อมูลเบื้องต้น และส่งต่อให้ไปอ่านในรายละเอียด ซึ่งจะปรากฏอยู่ในหนังสือหรือบันทึกชุดต่างๆ ที่สะสมอยู่ในเว็บไซท์ดาวแปดนั้น

ในส่วนของผู้เขียนจึงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ลงรายละเอียดในส่วนของเรื่องราว ที่ค่อนข้างจะเป็นปริศนาในความคิดของหลายๆ คน ที่ยังไม่อาจพัฒนาญาณสัมผัสของตนให้ออกพ้นไปจากสามัญสำนึกปกติ หน้าที่ของผู้เขียนจึงเป็นเพียงคนนำสาร เป็นคนกลางที่จะส่งผ่านและถ่ายทอดข่าวสารต่างๆ เหล่านั้นมาลงไว้ในมิติภาวะส่วนนี้ ความจริงแล้วข่าวสารเหล่านี้ต้องถือว่าเป็นสมบัติส่วนกลางของจักรวาล เป็นฐานความรู้ที่สามารถใช้ร่วมกันได้ทั่วทั้งอนันตโลกธาตุ ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของเป็นการเฉพาะ ขอเพียงท่านสามารถพัฒนาสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า เครื่องรับ หรือญาณสัมผัสในภาษาทั่วไปนั้น จนสามารถจูนไปรับคลื่นความรู้เหล่านั้นได้ ท่านผู้อ่านก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูลในฐานความรู้เหล่านั้นด้วยตนเอง

แต่ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ความรู้พื้นฐานเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่จะทำความเข้าใจข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมา ยกตัวอย่างเช่น ท่านที่ไม่ได้เรียนมาทางฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์ เมื่อนำสมการในวิชาเหล่านั้นไปให้ดู ท่านผู้อ่านย่อมมองเห็นได้ แต่ไม่อาจเข้าใจได้ ฉันใดก็ฉันนั้น แม้ท่านจะสามารถรับทราบความรู้จากอารยธรรมอื่นๆ ในแต่ละมิติภาวะที่ต่างออกไป ท่านย่อมสามารถรับรู้ได้ แต่จะสามารถทำความเข้าใจได้หรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเพื่อที่จะเรียนรู้มันเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ก็ย่อมต้องใช้เวลาพอสมควร ทั้งนี้ขึ้นกับกำลังญาณสัมผัสของท่านจะมีความแก่กล้ามากน้อยเพียงใด ผู้เขียนเคยพบท่านที่สามารถถ่ายทอดได้ทั้งความรู้และความเข้าใจในเวลาเดียวกัน นอกจากนั้นท่านทั้งหลายเหล่านั้นยังสามารถเกิดญาณรู้ที่เป็นมัชฌิมญาณว่า มีความสมควรมากน้อยเพียงใดที่จะถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นออกมาในโลกปัจจุบัน โดยพิจารณาจากระดับของเทคโนโลยีและจริยธรรมในจิตใจของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม เพื่อดูว่าพวกเขาสมควรที่จะรับรู้ข่าวสารนั้นได้แล้วหรือยัง

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone01/blg02/main.php

Wednesday, September 1, 2010

ทันเดอร์ริน 1 : สายลมจันทรา

สิ่งที่บรรพชนในมหาวิหารแห่งแพนโธเรียบอกเล่าสืบต่อกันมา ยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำของชาวแพนธอนทุกคนไม่เสื่อมคลาย ภาพต่างๆ เรื่องราวทั้งหมด มันน่ากลัวและสยดสยองเกินกว่าจะยอมรับได้ ตอนที่โมวีย์มาเยือนดวงดาวบ้านเกิดของพวกเขา ชาวแพนธอนส่วนใหญ่กลับตอบรับ และรอคอยการมาของมันด้วยความยินดี โดยที่ไม่สังหรณ์ใจแม้สักนิดว่า มหันตภัยอันร้ายแรงกำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะ

แม้เหล่าผู้ชาญเวทย์ชาวแพนธอนจะพยายามเตือนสภาสูงแห่งดวงดาวเพียงใด พวกเขาก็คล้ายจะไม่รับฟัง เป็นเพราะพวกเขาทั้งหมด ล้วนตกอยู่ในอำนาจแห่งการโน้มน้าว และการสะกดพลังของพวกโมวีเนียนจนหมดสิ้น หนทางสุดท้าย ชาวแพนธอนส่วนหนึ่งซึ่งไม่ได้ตกอยู่ในอำนาจมนต์สะกดของโมวีย์ จึงจำต้องตัดสินใจละทิ้งดาวมาตุภูมิบ้านเกิด เพื่อหลบหนีไปตักเตือนอารยธรรมของเผ่าพันธ์อื่นๆ ให้รับรู้และเตรียมพร้อมป้องกันการมาเยือนของโมวีย์ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ต้องเกิดซ้ำรอย และลงเอยจบสิ้นเช่นเดียวกับอารยธรรมของพวกเขา ที่สายเกินกว่าจะแก้ไขใดๆ ได้

แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง เมื่อพวยหางที่แสนงดงาม ประหนึ่งสายลมแห่งจันทรา ที่แพรวพราวระยิบระยับ ได้พาดผ่านเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของดาวแพนโธเรีย มันงดงามมาก ทั้งวิจิตรพิศดาร และแพรวพรรณเกินกว่าจะปฏิเสธได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ชาวแพนธอนส่วนใหญ่จะจมดิ่งอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความรู้สึกภายใต้อำนาจแห่งมนต์สะกดถึงเพียงนั้น พวกเขาไม่เพียงเคลิบเคลิ้มหลงใหล แต่ยังดื่มด่ำอยู่กับความสวยงามอันวิจิตรนั้นจนวาระสุดท้ายของชีวิต เมื่อละอองแสงอันพราวระยิบเหล่านั้น ได้หลอมรวมตัวกลับกลายเป็นชีวพลังงานชาวโมวีเนียน และจู่โจมเข้าพรากพาเอาวิญญาณและพลังชีวิตของพวกเขาไปจนหมดสิ้น

การเดินทางหลบหนีของผู้ที่เป็นความหวัง จำต้องเร่งรีบเกินกว่าจะรอช้าได้อีก ชาวแพนธอนส่วนใหญ่ ที่ชาญพลังแห่งเวทย์อันแก่กล้า รวมถึงกองกำลังขุนพลไสยเวทย์ทั้งหมดแห่งมหาวิหารแพนโธริน ล้วนต้องดาหน้าออกตอบรับ และต้านทานพวกโมวีเนียนอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้พวกที่เหลือหลบหนีกันออกจากดวงดาวอย่างไม่คิดชีวิต การปะทะเป็นไปอย่างรุนแรง ด้วยการนำของท่านทาดีนส์ จอมทัพผู้ยิ่งยงแห่งแพนโธเรีย พร้อมเหล่าทหารหาญของเขา ผู้ซึ่งยินยอมสละชีพ เข้าต่อสู้กับพวกโมวีเนียนอย่างหาญกล้า แต่ด้วยกองกำลังที่น้อยกว่ากันหลายร้อยเท่า เหล่าวีรชนทั้งหลายนั้น จึงล้วนต้องสังเวยชีวิตและวิญญาณของพวกเขา แก่ชาวโมวีเนียนคนแล้วคนเล่า แลเห็นร่างของพวกเขาสูญสลายหายไปท่ามกลางประกายแสงแห่งฟากฟ้าจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว

ยานของผู้หลบหนีหลายลำก็ถูกทำลายย่อยยับ นับแต่ยังไปไม่พ้นจากชั้นบรรยากาศ คงเหลือเพียงยานอีกจำนวนหนึ่ง ที่ได้รับการติดตั้งกลจักรทรานส์วาร์ป เครื่องต้นแบบไม่เกิน 5 ลำ ที่สามารถเร่งความเร็วเกินวาร์ป 10 กระโจนเข้าสู่ไฮเปอร์สเปสได้ทัน นั่นเป็นสาเหตุที่พวกเขาต้องรอคอยจนถึงวันที่โมวีย์มาถึง และอาศัยช่วงเวลาที่ชุลมุลเกินกว่าพวกโมวีเนียนจะตั้งตัวได้ เพื่อใช้เป็นจังหวะในการหลบหนี เพราะก่อนหน้านั้น มียานของชาวแพนธอนส่วนหนึ่งที่ล่วงหน้าไปล้วนถูกพวกนั้นทำลายจนหมดสิ้น ไม่สามารถแหวกฝ่าวงล้อมที่หนาแน่นของพวกโมวีเนียนไปได้ พวกมันคล้ายต้องการล้างสิ้นทุกเผ่าพันธ์ในจักรวาล

แล้วกาลเวลาก็ล่วงเลยผ่านไป ภาพของดาวแพนโธเรียที่แสนงดงาม ต้องค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นดาวเคราะห์ร้างที่ไร้ชีวิต หลังจากที่โมวีย์ได้เข้าครอบงำและดูดกลืนพลังชีวิตทั้งหมดของดวงดาวไป ไม่มีอะไรเหลือสำหรับการจดจำอีก นอกเหนือจากวีรกรรมของเหล่าผู้กล้าชาวแพนธอนที่ยินยอมเสียสละต่อสู้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต เพื่อเปิดโอกาสให้พวกของตนหลบหนีออกไป จนกลายมาเป็นเพียงตำนานเล่าขานที่สืบทอดกันมาไม่จบไม่สิ้นจากรุ่นสู่รุ่น กระทั่งมาถึงวันเวลาแห่งการเผชิญหน้าอีกครั้ง จะไม่มีการหลบหนีหรือล่าถอยอีก ที่นี่คือสมรภูมิสุดท้ายที่ชาวแพนธอนกับชาวโมวีเนียนทั้งหมดจะต้องตัดสินชะตากรรมระหว่างกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เมื่อโมวีย์ได้ละทิ้งซากดาวร้างของแพนโธเรีย และมุ่งหน้าตรงไปยังเป้าหมายแห่งต่อไป

ชาวแพนธอนที่รอดชีวิตมา ได้เดินทางผ่านอวกาศชั้นสูงตรงมายังระบบสุริยะของดาวโลก เมื่อพวกเขารับรู้การมาของโมวีย์ และดาวโลกก็เป็นเป้าหมายที่อยู่ในเส้นทางของมันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง พวกเขาจึงล่วงหน้าเข้ามาและแฝงตนเข้ามาในสังคมของชาวมนุษย์ เพื่อวางรากฐานแห่งกองกำลังและเตรียมพร้อมรับการต่อสู้ โดยการประสานงานกับชาวแพนธอนที่ได้เดินทางมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ดาวโลกก่อนหน้านั้นเป็นเวลานาน จนสามารถให้กำเนิดสายพันธ์ผสมที่เปี่ยมล้นด้วยพลังอำนาจและเป็นความหวังสุดท้ายของทุกคน ด้วยสำนึกในบุญคุณแห่งดวงดาวสีฟ้าที่แสนงดงามใบนี้ ชาวแพนธอนและสายพันธ์ผสมทั้งหลายนั้น จึงล้วนมีความมุ่งมั่นเป็นหนึ่งที่จะพิทักษ์รักษาดินแดนสุดท้ายนี้ไว้ด้วยชีวิต

และด้วยพลังอำนาจที่เร้นลับจากบรรพชนในมหาวิหารแห่งแพนโธริน พวกเขาจึงได้ฝึกฝนกลุ่มอนุชนรุ่นหลังที่เป็นทายาทแห่งพลังอำนาจขึ้นมา ในนามแห่งยุวชนดาวสายฟ้า เป็นกลุ่มเด็กสายพันธ์ผสม ที่รวมจุดเด่นพันธุกรรมทั้งของชาวแพนธอนและมนุษย์โลก ทำให้เด็กเหล่านี้มีพลังอำนาจแฝงที่สูงล้ำจากชาวแพนธอน และพลังชีวิตที่กล้าแข็งในการต่อสู้ดิ้นรนของชาวมนุษย์อย่างเต็มเปี่ยม จนผสมผสานกลายเป็นมหาอำนาจและพลังที่ยากประเมิน พวกโมวีเนียนจะทำอย่างไรกับเด็กน้อยเหล่านี้ และชะตากรรมของโลกและชาวแพนธอนที่เหลือจะลงเอยในรูปใด ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวแห่งการต่อสู้ของพวกเขาทั้งหลายนั้น

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone08/blg01/main.php

Friday, August 27, 2010

มินตรา 1 : ปฐมปริศนา

เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในเรื่องผลกระทบต่อเรื่องราวหรือเหตุการณ์ใดๆ ในโลกแห่งความจริงปัจจุบัน เรื่องเล่าในตำนานแห่งมินตรานี้จึงขอใช้ฉากของโลก ที่อยู่ในจักรวาลคู่ขนาน หลังมหันตภัยพิบัติที่ทำลายล้างสภาพแวดล้อมของโลกอย่างรุนแรง ได้ผ่านพ้นไปแล้วในปี พ.ศ. 2562 ซึ่งได้ส่งผลให้ภูมิสภาพทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ชนิดที่แทบจะจดจำสภาพดั้งเดิมไม่ได้ เหตุการณ์ในท้องเรื่องเริ่มต้นขึ้นหลังจากโลกเริ่มเข้าสู่สภาพสมดุลย์อีกครั้ง นับจากมหาวิบัติภัยครั้งสุดท้ายได้จบสิ้นลงประมาณ 10 ปี และมีการรวมหลายประเทศเข้าด้วยกันเป็นสหพันธรัฐ เนื่องจากจำนวนประชากรที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งในสิบของสังคมโลกทั้งหมด ก่อนเกิดการทำลายล้างที่ผ่านมา รวมทั้งพื้นที่ของบางประเทศที่เหลือน้อยจนแทบจะคงความเป็นชาติเอาไว้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ชนชาติที่อยู่ใกล้กัน มีประเพณีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันจึงได้รวมกันเป็นประเทศอีกครั้ง โดยยังคงเขตพื้นที่ชนชาติเดิมเอาไว้ และมีการตั้งรัฐบาลกลางขึ้นมาปกครองดูแล

ในภูมิภาคที่ถูกใช้เป็นสถานที่ดำเนินเรื่องทั้งหมด จะอยู่ในเขตปกครองย่อยที่เรียกว่า อาคานียา ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ตั้งของเอเชียอาคเนย์ หรือเอเชียตะวันตกเฉียงใต้เดิม เพียงแต่บัดนี้ ผืนแผ่นดินใหญ่ได้แตกแยกออกเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยจำนวนมาก โดยมีพื้นทวีปใหญ่อยู่ลึกเข้ามาทางตอนเหนือของมหาทวีปเก่า ทำให้ชนชาติในพื้นที่แถบนี้หลายเผ่าพันธ์ได้รวมตัวกันขึ้นเป็นรัฐใหญ่แห่งหนึ่งที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลกลางที่อยู่ลึกขึ้นไปทางตอนเหนือ บริเวณชายแดนเดิมของมหาอำนาจจีนและรัสเซีย ซึ่งบัดนี้แผ่นดินได้แยกออกและยุบหายกลับกลายเป็นท้องน้ำกว้างใหญ่ไพศาลกางกั้นไว้ มลรัฐอาคานียาจึงถือเป็นเขตปกครองทางใต้ที่มีความสำคัญ ด้วยสภาพพื้นที่ติดชายฝั่งมหาสมุทรจึงกลายเป็นเมืองท่าสำคัญ ทำให้เกิดมหานครใหญ่ที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยหนาแน่น เพราะสภาพภูมิอากาศที่อบอุ่นกำลังดี ไม่หนาวเย็นเกินไปเหมือนพื้นที่ทางตอนเหนือ ซึ่งจะถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะเนิ่นนานกว่าหกเดือนในทุกปี

นครสีมาราเป็นเมืองท่าสำคัญที่ติดชายฝั่งทวีป มีท่าเรือน้ำลึกหลายแห่งตามแนวชายฝั่งที่เรียงรายเป็นแนวยาว ตัวเกาะต่างๆ ซึ่งเคยเป็นเขตเทือกเขาและที่ราบสูงเดิม ได้กลับกลายเป็นแนวป้องกันพายุและคลื่นทะเลที่รุนแรงเป็นอย่างดี ส่งผลให้น่านน้ำของสีมารามีความสงบเพียงพอและเหมาะสมจะเป็นท่าเรือน้ำลึกที่คึกคักและพลุกพล่านมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก การขนส่งทั้งหมดจะเริ่มต้นที่ท่าเรือแห่งนี้ ก่อนที่สัมภาระและสินค้าต่างๆ จะถูกลำเลียงขึ้นไปยังเขตปกครองทางตอนเหนือของมหาทวีปโบราณ จากเหตุปัจจัยทั้งหมดนี้ จึงส่งผลให้สีมารากลับกลายเป็นมหานครเมืองท่าสำคัญได้โดยไม่ยากเย็นนัก

มินตราเป็นร้านรับซื้อและจำหน่ายของโบราณ ตัวอาคารเป็นตึกแถวขนาดสามคูหา ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมของถนนแห่งหนึ่งในเขตชานเมืองของสีมารา ถัดขึ้นไปทางตอนเหนือใกล้ชายเขตของนครศรีภูมิ เจ้าของร้านปัจจุบันเป็นชายวัยกลางคนที่มีนามว่า ชินกร อดีตนักวิชาการด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมีชื่อในเขตพื้นที่นี้ ซึ่งปัจจุบันได้ถูกกลืนหายไปในท้องน้ำกว้างเรียบร้อยแล้ว ชินกร หรืออาจารย์ชิน จึงกลับมาที่บ้านเดิมของตนและได้ร่วมกับบุคคลลึกลับผู้หนึ่งที่ใช้ชื่อว่า วรทิน เขาเป็นคนเสนอแนะกิจการค้าของโบราณ พร้อมร้านมินตราแห่งนี้ให้ มันเหมือนจะเป็นร้านที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ชินกรไม่แน่ใจว่าเคยเห็นร้านนี้ในที่ตั้งปัจจุบันของมันมาก่อน ตอนที่เขามาถึงครั้งแรกนั้น มันเหมือนกับเป็นการเดินทางเข้ามาสู่กาลเวลาแห่งอดีตอันยาวไกล หลังจากก้าวย่างเข้าสู่ภายในตัวอาคารที่ตั้งร้านแห่งนี้ในครั้งแรก

จากนั้นมาชินกรก็ได้รับรู้เรื่องราวจากความทรงจำอันเร้นลับของร้าน ผ่านการถ่ายทอดและคำบอกเล่าของวรทิน อาจารย์ชินจึงตัดสินใจใช้ชีวิตบั้นปลายที่ร้านโบราณแห่งนี้ เพราะมันสอดคล้องกับภูมิความรู้ที่เขาศึกษาค้นคว้ามาตลอดชีวิต พร้อมกับแผนการอันยิ่งใหญ่ที่รอคอยพวกเขาอยู่ วรทินหายไปเนิ่นนานเกือบปี แล้วเขาก็กลับมาพร้อมกับชายหนุ่มชาวเขาจากที่ราบสูงทางตอนเหนือของอาคานียา เขามีชื่อว่า ทียอ เป็นคนอารมณ์ดี แม้จะผอมสูงแต่ก็แข็งแรงว่องไว ท่าทีกระฉับกระเฉงและขยันขันแข็ง ที่สำคัญเขามีฝีมือทางงานช่างเกือบทุกชนิด ทั้งยันเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทียอได้กลายเป็นเพื่อนร่วมงานคนสำคัญของชินกรนับแต่นั้นเป็นต้นมา ขณะที่วรทินจะไปๆ มาๆ บางครั้งก็หายหน้าหายตาไปหลายเดือน และในค่ำคืนหนึ่งเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูทางเข้าร้านพร้อมมวนบุหรี่ประหลาดในมือที่ไม่เคยถูกจุดสูบ ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำ ชินกรที่เข้านอนไปแล้วต้องลงมาตามเสียงออดที่ดังติดต่อกันหลายครั้ง วรทินบอกให้เขารีบแต่งตัวเพื่อออกไปข้างนอก เพราะเวลาที่รอคอยได้มาถึงแล้ว ชินกรก็รีบไปกระทำตาม พอออกมาอีกทีก็พบว่า ทียอได้ขับรถตู้ของร้านมาจอดรออยู่ที่ริมถนนด้านข้างตัวร้านเรียบร้อย แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทางไปเพื่อสานต่อวงจรแห่งชะตากรรมทั้งหมดให้ครบรอบสมบูรณ์อีกครั้ง

เรื่องราวของมินตรา แก็งค์กวนป่วนวิญญาณ จึงได้เริ่มต้นขึ้นจากการเดินทางครั้งสำคัญนี้ ผู้เขียนรู้สึกยินดีและสนุกกับเนื้อหา โครงเรื่อง และบทบาทลีลาของตัวละคร ที่ชวนตื่นตาตื่นใจ และมีมุกตลกสนุกสนานด้วยอารมณ์ขันที่แซมซ้อนอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ท่ามกลางการผจญภัยที่สุดแสนจะตื่นเต้นเร้าใจ เต็มไปด้วยฉากเหตุการณ์ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึน พร้อมการดำเนินเรื่องที่เข้มข้นกระชับฉับไว ซึ่งเป็นแนวที่ผู้เขียนชื่นชอบและถนัดอยู่แต่เดิมแล้ว จึงน้อมรับข้อเสนอในงานประพันธ์ชิ้นนี้ด้วยความเต็มใจ หลังจากที่ได้รับมติเป็นเอกฉันท์จากเพื่อนร่วมชมรมทั้งหมด ด้วยเหตุนี้จึงต้องขอออกตัวในที่นี้ว่า งานเขียนชุดนี้มิใช่ผลงานของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว ทว่าต้องถือเป็นผลงานร่วมของกลุ่มเพื่อนที่ได้ช่วยกันระดมสมอง สร้างพล็อตหรือโครงเรื่องให้ โดยเฉพาะน้องปฐวิภาจากเว็บไซท์ firenine และพี่วิฬาร์นิล เพื่อนร่วมทีมในชมรมหนังสือดาวแปดนี้ ต้องถือว่าทั้งสองท่านเป็นผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในการรังสรรค์ให้หนังสือนวนิยายเรื่องนี้ สำเร็จเป็นเรื่องราวครบถ้วน ให้ท่านผู้อ่านได้ร่วมเพลิดเพลินไปพร้อมๆ กับพวกเราทุกคน และจากนี้ไปก็ขอเชิญทุกท่านพบกับภาคแรกของมินตรา แก็งค์กวนป่วนวิญญาณ ในชื่อภาคว่า ปฐมปริศนา หรือ The Primary Riddle ได้ ณ.บัดนี้

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.firenine.com/zone12/blg03/main.php

Wednesday, August 25, 2010

อิทธินาคินทร์ 1 : นาคาอหังการ

เมื่อเหล่าภูติผู้มีอหังการ สามารถรวบรวมกำลังขึ้นเป็นปึกแผ่น ภายใต้การนำของจอมภูติศิรนรา ความอดทนอดกลั้นต่อการดำรงอยู่ภายใต้อำนาจความคุมแห่งเหล่าเทพจึงสูญสิ้น บรรดาพลรบภูติอันเกรียงไกรจึงได้กรีฑาทัพเข้ารุกรานทั้งแดนเทพและมนุษย์ ก่อเกิดเป็นมหาสงครามตรีสหัสวรรษที่ลือลั่นไปทั่วทั้งอันตรวียาโลกธาตุ สร้างเป็นความพินาศยับเยินอันไม่จบสิ้นมาตลอดกาลเวลาแห่งกลียุคที่มืดมน จนไม่มีผู้ใดอาจหยั่งรู้ได้ว่า เมื่อใดสงครามและความขัดแย้งนี้จะยุติสิ้นสุดลง

ในช่วงสองสหัสวรรษแรก เหล่าเทพล้วนพ่ายแพ้ปราชัยอย่างต่อเนื่อง ไม่มีกองทัพใดสามารถต้านท้าอำนาจฤทธิ์ของจอมภูติศิรนราได้ ทวยเทพทั้งหลายจึงจำต้องถอยร่น และปล่อยให้มนุษย์ต้องรับศึกเพียงลำพัง อย่างไร้สิ้นซึ่งความหวังใดๆ แต่มนุษย์ก็ไม่ยอมศิโรราบให้กับอำนาจของจอมภูติ แม้จะถูกตีถอยร่นไปตลอดเวลา จนมาถึงช่วงท้ายของพันปีที่สอง เหล่ามนุษย์ได้ล่าถอยมาตั้งมั่นอยู่ที่ชายขอบของพนาต์ศักดิสิทธิ์แห่งอมรบดี พวกเขาได้อาศัยอิทธาธิษฐานที่จอมอธิราชเทพผู้หลับไหลได้กำหนดไว้ก่อนจะเข้าสู่นิทราญาณอันลึกล้ำเมื่อกว่าเบญจสหัสวรรษที่ผ่านมา

ทว่าศิรนราผู้สูงล้นด้วยมหาอำนาจและอหังการ กลับไม่หวาดหวั่นต่ออิทธาธิษฐานอันศักดิ์สิทธิ์นั้น แต่เขากลับท้าทายจอมอธิราชผู้หลับไหลอย่างไม่กลัวเกรง ความหฤโหดและอำมหิตของจอมภูติได้สะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งโลกธาตุ และท่ามกลางเสียงวิงวอนร้องขออย่างสิ้นหวังของมวลมนุษย์ที่ไร้ทางไป จอมอธิราชผู้เป็นราชันแห่งเทพจึงไม่อาจทนวางเฉยต่อไปได้ และลำพังเพียงการถอนออกจากภวังค์แห่งนิทราญาณของเขา ก็ได้ทำลายกองทัพหน้าของศิรนราจนสูญสิ้น สร้างความระย่นย่อและโกลาหนระส่ำระสายให้เกิดขึ้นทั่วทั้งกองทัพภูติอย่างรวดเร็ว ทั้งเทพและมนุษย์จึงได้หวนกลับคืนมารวมตัวกันอีกครั้ง ภายใต้การนำของอิสรินทร์ จอมอธิราชันผู้หวนคืน

การยุทธในสหัสวรรษสุดท้ายที่ผ่านมาจึงค่อยพลิกผัน กองทัพของเทพและมนุษย์สามารถขับไล่เหล่าภูติให้ถอยร่นกลับสู่ดินแดนของตนในมหาทวีปภูตปรกาฬ จากนั้นมาแม้สงครามจะยังไม่สิ้นสุด แต่สันติสุขก็พอจะแสวงหาได้ มนุษย์เริ่มคืนกลับสู่สิตรคันธรมหาทวีปแห่งตน โดยมีพลศึกผสมระหว่างมนุษย์และเหล่าเทพตั้งขบวนทัพอยู่ที่ชายขอบของภูตทวีป เพื่อป้องกันการรุกรานของศิรนรา เหตุการณ์ทั้งหมดคล้ายจะสงบมากว่าพันปี กระทั่งสิ่งที่ไม่คาดคิดได้อุบัติบังเกิดขึ้น เมื่อมรณะภัยได้กร้ำกรายสู่มินนรีชายาสาวเพียงหนึ่งเดียวแห่งเจ้าวิรุณนาคาอย่างฉับพลันทันใด เพื่อช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ ตามคติแห่งอารยะของเหล่าปฐพีนาคาที่เปี่ยมล้นอยู่ในสายเลือดและจิตวิญญาณ จึงทำให้มินนรีถูกกลลวงเข้าสู่แดนสังหารของเหล่าภูติอย่างง่ายดาย

ความสิ้นสูญของนาคาสาวผู้เป็นที่รักยิ่ง ทำให้วรินทรผู้เป็นสวามีของมินนรีได้แต่ร่ำร้องคร่ำครวญอยู่ต่อหน้าสรีระอันว่างเปล่าของชายาสาวถึงสิบห้าราตรี ความเศร้าโศรกพิไรรำพันได้ครอบคลุมแดนบาดาลอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่วิรุณนาคาเท่านั้น แต่แผ่ขยายออกไปจนกลายเป็นความโศรกซึ้งรันทดอันยิ่งใหญ่ครอบคลุมทั่วทุกวงศ์สายแห่งนาคาทั้งหลาย ด้วยความคับแค้นที่มนุษย์เป็นต้นเหตุ เหล่าเทพปฏิเสธการร้องขอ เหล่าภูติเป็นผู้ลงมือสังหาร นาคาทั้งหลายจึงประกาศตนเป็นอิสระไม่ขึ้นตรงต่อฝ่ายใด แล้วนาคาทั้งสี่วงศ์จึงเข้ารวมกำลังกัน เพื่อเปิดศึกสงครามกับเหล่าภูติอย่างจริงจัง เกิดเป็นมหาสงครามแห่งสหัสวรรษใหม่ ที่รุนแรงและเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมหลายร้อยหลายพันเท่า

แม้จอมเทพอิสรินทร์จะพยายามเกลี้ยกล่อมวรินธรผู้นำแห่งเหล่านาคาเพียงใด ก็ดูจะไร้ผล ในสายตาของวรินธรล้วนมีแต่เพียงความแค้น เขาไม่สนใจว่าโลกธาตุจะถล่มทลายสิ้นสูญไปหรือไม่ จุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งเดียวคือสังหารศิรนราและทำลายกองทัพภูติให้สูญสิ้น ใครเลยอาจคาดคิดได้ เมื่อเหล่านาคาผู้สงบงัน ที่คอยควบคุมฤดูกาลและวัฏฏจักรแห่งโลกธาตุ จะแปรเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ เมื่อพวกเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว พลังอำนาจกลับเปี่ยมล้นเกินกว่าที่จะควบคุมยับยั้ง อีกทั้งวัฏฏจักรที่แปรปรวนไร้การควบคุม ก็ยิ่งเพิ่มความสับสนอลหม่านให้แผ่ขยายไปทั่วทั้งแดนฟ้าและผืนดิน ทำให้ความสงบสุขสูญสิ้นไปอย่างรวดเร็ว

สุดท้ายเหล่าเทพจำต้องตัดสินใจหยุดยั้งวรินธร เพื่อควบคุมเหล่านาคาให้อยู่ในอาณัติดุจเดิม สงครามระหว่างเทพและนาคาจึงอุบัติบังเกิดขึ้น ในขณะนั้นเอง ศิรนราจึงถือโอกาสเคลื่อนพลไปปลดปล่อยเหล่าสัตว์นรก ปีศาจ และอสุรกายในอบายให้ลุกฮือขึ้น ก่อเกิดเป็นมหายุทธถล่มฟ้าดินอันยิ่งใหญ่และหนักหน่วงกว่าทุกครั้ง มนุษย์ถูกบังคับให้ต้องเข้าร่วมกับเหล่าเทพ แต่พวกเขากลับไม่ยินยอมที่จะรบกับเหล่านาคาผู้มีคุณ ทำให้มนุษย์ต้องถูกกีดกันอยู่เดียวดาย พวกเขาจึงมุ่งมั่นที่จะต่อสู้จนคนสุดท้าย และขอตายในแดนเกิดแห่งตน จะไม่มีการล่าถอยหรือหลบหนีอย่างไร้เกียรติอีกต่อไป

ทว่าการตัดสินใจของเหล่ามนุษย์ในครั้งนี้ กลับทำให้เมธาจารย์ ผู้นำจิตวิญญาณแห่งนิกายสัตยา เกิดความประทับใจในกตเวทิตาคุณของมวลมนุษย์ จึงประกาศเข้าร่วมกับพวกเขา และด้วยอำนาจแห่งอภิญญาอันยิ่งของเหล่าชนนิกายแห่งสัตยธรรม จึงทำให้เหล่ามนุษย์สามารถยืนหยัดอยู่ได้ ท่ามกลางภัยแห่งสงครามที่รายรอบ โดยไม่มีใครรู้ว่า กลียุคมิคสัญญีครั้งใหม่นี้จะยุติสิ้นสุดลงเมื่อใด ฟ้าดินจะถูกถล่มทลายลงหรือไม่ ไม่มีใครยอมใครอีกต่อไป เมื่อเหล่านาคาที่แปรเปลี่ยนเป็นอสุรสัตว์ที่ดุร้ายและเรืองอำนาจ ได้กลายเป็นขุมกำลังอันยิ่งใหญ่ ที่สามารถต้านทานทั้งเหล่าเทพและกองทัพภูติโดยไม่หวาดหวั่นสั่นคลอน เพราะพวกเขาไร้สิ้นซึ่งความหวังใดๆ ไม่มีความรักหลงเหลืออยู่อีก ซากใจของวรินธรคล้ายจะป่นทำลายไปพร้อมกับชีวิตของมินนรี ชายาที่เขารักสุดหัวใจ มันทำให้พวกเขาไร้ทางเลือก นอกจากจะประกาศศักดาแห่งความเป็นอิทธินาคินทร์ของพวกตน ให้โลกธาตุทั้งหมดได้รับรู้

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone05/blg01/main.php

Tuesday, August 24, 2010

ประทีปแห่งดวงดาว

เรื่องราวทั้งหมดได้เริ่มต้นขึ้นที่อารามเล็กๆ ใกล้เมืองซีอาน โดยตั้งอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งทอดยาวมาจากเทือกเขาทางตอนเหนือ คนละฟากฝั่งของแม่น้ำเว่ย หนึ่งในลำน้ำสายหลักที่ไหลผ่านมณฑลสานซี ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน ในช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ได้ตั้งหลักปักฐานในภูมิภาคแถบนี้อย่างค่อนข้างจะมั่นคงแล้ว ทำให้มีสถานปฏิบัติธรรมแพร่ขยายโดยทั่วไป และอารามเล็กๆ แห่งนี้ ที่มีนามว่า ไป๋ฟาง (ทางไปสีขาว) ก็เป็นหนึ่งในสถานปฏิบัติสมณะธรรมในนิกายมหายานของพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน

สำหรับตัวละครหลักคนแรกก็คือ เด็กขอทานจรจัด ที่ภายหลังบวชเป็นสามเณรแล้ว จึงได้รับฉายาว่า หลิวซิง (ดาวพเนจร) เพราะความที่เป็นคนชอบเดินทางไม่ค่อยอยู่ติดที่ ร่อนเร่รอนแรมมาตั้งแต่เด็กจนอายุได้เกือบสิบห้าปี จึงมาถึงอารามไป๋ฟางแห่งนี้ และได้บวชเรียนอยู่ศึกษาพระธรรม ไม่ต้องรอนแรมไร้ที่พักพิงอีกต่อไป หลิวซิงเป็นคนร่าเริงไม่คิดมาก อาจเป็นเพราะต้องผจญชีวิตตามลำพังมาแต่เล็ก จึงทำให้มุมมองชีวิตของเขา เป็นคนที่ยอมรับความเป็นจริงทุกสิ่งที่จะบังเกิดขึ้นโดยไม่ดิ้นรนโต้แย้ง ปกติจึงชอบหลีกเร้นปลีกวิเวก เพราะความที่เป็นเด็กขอทานจรจัด ที่สังคมไม่ให้การต้อนรับ จึงทำให้เขาชอบใช้เวลาอยู่ตามลำพังในโลกส่วนตัว ไม่สุงสิงกับผู้คน และยอมรับชะตากรรมของตนด้วยความสงบ

ตัวละครหลักคนที่สองคือ สามเณรน้อยที่มีนามว่าติงเซิน (ผู้ตามประทีป) เขาเป็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับหลิวซิง แต่กลับมีอุปนิสัยที่ตรงกันข้าม ขณะที่หลิวซิงได้แต่สนุกสนานร่าเริงไปวันๆ แต่ติงเซินกลับเป็นคนจริงจัง ชอบที่จะเรียนรู้ศึกษาและมีปฏิปทาที่มุ่งมั่น เมื่อตัดสินใจสิ่งใดแล้วก็ยากจะเปลี่ยนแปลง แต่ทั้งสองก็มีส่วนที่เหมือนกันอยู่คือ พื้นฐานจิตใจที่อ่อนโยนและชอบช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากและลำบากกว่าตน ติงเซินแม้จะบวชเรียนเป็นสามเณร อยู่ศึกษาพระธรรมคำสอน แต่ก็มีชาติตระกูลมาจากคหบดีที่มีฐานะภายในเมือง เขาเข้ามาบวชด้วยใจศรัทธาและมุ่งมั่นจะศึกษาทำความเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ติงเซินได้รับหน้าที่ให้เป็นคนคอยดูแลประทีป โคมไฟ และตะเกียงทั้งหมดที่ใช้จุดบูชาอยู่ภายในวิหาร ซึ่งประดิษฐานพระพุทธะโพธิสัตว์ทั้งหลาย ด้วยความที่เป็นคนมีความรับผิดชอบสูง จนกลายมาเป็นฉายาของเขา

ขณะที่หลิวซิงจะคอยช่วยเหลือในภาระการงานต่างๆ ของติงเซิน โดยเฉพาะการติดตามติงเซินไปช่วยเข็นรถรับของที่ชาวบ้านบริจาคให้ จากในหมู่บ้านใกล้เนินเขาที่ตั้งของตัวอาราม ซึ่งมีระยะทางค่อนข้างไกล จึงทำให้ทั้งสองใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก กระทั่งดวงชะตาได้นำพาทั้งสองให้เข้ามาสู่วังวนที่สุดแสนจะพิศดารมหัศจรรย์ หากมองจากสายตาของปุถุชน คือความสามารถในการสื่อสารกับบรรดามวลมหาปัญญาอันยิ่งใหญ่ ซึ่งได้เมตตามอบคำสอนสั่ง และตอบปัญหา พร้อมคำชี้แนะที่ทรงคุณค่า เพื่อพัฒนาจิตเดิมแท้ของเณรน้อยทั้งสองให้ก้าวล่วงสู่วิถีแห่งความหลุดพ้นอันเที่ยงแท้ จนได้กลายมาเป็นเนื้อหาสาระในหนังสือนวนิยายเล่มนี้

ตัวละครหลักอีกคนที่ไม่อาจละเลย ก็คือท่านไต้ซือฟาถู (ผู้สวมมงกุฏแห่งปัญญา) ท่านเป็นเจ้าอาวาสอารามไป๋ฟางแห่งนี้ ทั้งยังเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนโดยทั่วไป ไต้ซือฟาถูเป็นคนเข้มงวดจริงจังหากเป็นการปฏิบัติธรรม ท่านจะไม่ยอมอ่อนข้อให้หาข้ออ้างหลีกเลี่ยงได้เป็นอันขาด แต่ถ้าเป็นเรื่องทั่วไป ท่านก็จะเป็นเหมือนพระเถระอารมณ์ดี คุยสนุก และที่สำคัญเป็นผู้ทรงภูมิธรรมและปัญญาญาณ ที่หาผู้เสมอเหมือนได้ยาก มีความจัดเจนในหัวข้อธรรมคำสอนของพุทธองค์ อย่างถ่องแท้และแจ้งชัด สามารถโต้ตอบปัญหาธรรมได้ทุกเรื่อง และให้คำอรรถาธิบายได้ทั้งแบบเรียบง่ายและพิสดาร

โดยเฉพาะในเรื่องพื้นฐานจิตใจ ท่านเป็นคนใจดีมีเมตตา ชอบที่จะช่วยเหลือเผื่อแผ่ผู้ตกทุกข์ได้ยากทุกเมื่อ และหลังจากสังเกตุเห็นว่าเด็กน้อยขอทานมักจะแวะเวียนมาที่อาราม และได้อาหารแบ่งปันจากติงเซินเป็นประจำ ทั้งขอทานน้อยก็รู้คุณ มักจะอาสาติดตามช่วยงานติงเซินอยู่บ่อยครั้ง ท่านจึงชวนให้ขอทานน้อยอยู่ร่วมที่อาราม โดยให้บวชเป็นสามเณรน้อย และตั้งฉายาให้ว่าหลิวซิง สองสหายหลิวซิงและติงเซิน จึงได้อยู่อาศัยร่วมชายคาในอารามไป๋ฟางนับแต่นั้นเป็นต้นมา ขณะที่ติงเซินจะพักอาศัยอยู่ที่อาคารเดียวกับท่านเจ้าอาวาส เพื่อคอยอุปฐากดูแลตามปกติ แต่หลิวซิงนั้นรู้สำนึกเจียมตนและขอไปพักอาศัยอยู่ในอาคารเก็บของ โดยอาสาเฝ้าของไปในตัว เพราะไม่ต้องการให้เป็นปัญหาต่อพระเณรคนอื่นๆ ที่อาจรู้สึกรังเกียจปูมหลังความเป็นมาที่ต่ำต้อยของตน

และทั้งหมดนี้ก็เป็นพื้นฐานเรื่องราวของนวนิยายเรื่องนี้ สำหรับตัวละครประกอบอื่นๆ ใช่ว่าจะไม่มีความสำคัญ เพียงแต่มิได้ปรากฏเป็นเนื้อหาหลักในทุกบท จึงจะขอยกยอดไปแนะนำตัวในแต่ละเหตุการณ์ที่พวกเขาเหล่านั้นมีบทบาทร่วมอยู่แทน เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านก็คงพอเข้าใจได้บ้างแล้วว่า ที่มาของชื่อเรื่อง ประทีปแห่งดวงดาว นั้นมีความเป็นมาจากการผนวกรวมเอาบทบาทของตัวละครหลักคือเณรน้อยทั้งสองคนเข้าด้วยกัน หนึ่งประทีป หนึ่งดวงดาว เพราะทั้งสองเป็นผู้ที่ทำให้เรื่องราวต่างๆ ดำเนินไป ตั้งแต่ต้นจนจบ และเป็นผู้ที่นำพาเอาแสงสว่างแห่งปัญญาญาณมาเผยแผ่แก่ตนเองและผู้อื่น ดังคำกล่าวที่ว่า ดวงดาวให้แสง ประทีปให้ทาง เมื่อทั้งประทีปและดวงดาวมาอยู่รวมกัน จึงย่อมให้ทั้งแสงสว่างและเส้นทางอันเหมาะสม เพื่อก้าวเดินสู่วิมุติสุขอันสันติเป็นนิรันดร์

ติดตามอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone01/blg03/main.php

อรรถอิสระ

หนังสือเล่มนี้ถูกจัดทำขึ้นด้วยความตั้งใจ ที่จะพยายามทำการรวบรวมเรียบเรียงคำสอนที่ท่านอาจารย์อิสระวาที ได้พากเพียรเมตตาน้อมนำคำสอนของพระพุทธองค์มาใช้เป็นแนวทาง ในการสั่งสอนศิษยานุศิทย์ทั้งหลายตลอดเวลาที่ผ่านมา ซึ่งผู้เรียบเรียงและคณะศิษย์หลายท่าน ล้วนเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรที่จะรวบรวมคำสอนที่ทรงคุณค่าทั้งหลายนี้ให้เป็นรูปเล่ม เพื่อที่จะสามารถจัดพิมพ์แจกจ่ายแก่สาธุชนผู้สนใจทั้งหลาย ทั้งที่อยู่ร่วมในคณะศิษย์ปัจจุบัน หรือที่อาจเข้ามาร่วมในอนาคต และเมื่อได้รับฉันทานุมัติจากท่านอาจารย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โครงการจัดทำหนังสือเล่มนี้จึงได้เริ่มต้นขึ้น

แนวทางการเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้ใช้หนังสืออิสระเล่มเดิมเป็นเค้าโครงในการจัดทำ แต่เนื่องจากเป็นหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เนื้อหาสาระจึงค่อนข้างจะไม่ทันสมัย เนื่องจากตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ท่านอาจารย์ได้ให้คำแนะนำสั่งสอนเพิ่มขึ้นอีกมากหลาย อีกทั้งเนื้อหาเดิมยังค่อนข้างจะสับสนปนเป ไม่สามารถแยกเป็นระดับของภูมิธรรมที่ชัดเจนได้ จึงเห็นสมควรว่า ถึงเวลาที่จะทำการปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัย และมีการจำแนกระดับของภูมิธรรมที่ชัดเจนกว่าเดิม พร้อมทั้งยังได้ทำการปรับปรุงเนื้อหาใจความ ให้มีความกระชับและมีสำนวนภาษาที่ง่ายต่อการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ โดยการลดทอนถ้อยคำที่เต็มไปด้วยคำศัพท์ทางวิชาการลง โดยเฉพาะที่เป็นภาษาบาลี

สำหรับเนื้อหาใจความในหนังสือเล่มใหม่นี้ จะมีการจัดแบ่งเนื้อหาหลักธรรมให้เป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่ธรรมเบื้องต้นสำหรับผู้ที่เป็นฆารวาส ซึ่งยังต้องพัวพันอยู่กับการใช้ชีวิตแบบโลกๆ ก่อนจะปรับขึ้นสู่ระดับธรรมขั้นกลาง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มสนใจเข้ามาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง และท้ายสุดก็ต่อเนื่องไปจนถึงหลักธรรมชั้นสูง สำหรับผู้ที่ต้องการแสวงหาหนทางแห่งการหลุดพ้นโดยตรง ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้กรุณาให้แนวทางในการแบ่งระดับสาระธรรมในหนังสือออกเป็นสามระดับไว้แล้ว ผู้เรียบเรียงจึงขออนุญาติเดินตามแนวทางดังกล่าว โดยทำการจัดแบ่งเนื้อหาของหนังสือทั้งหมดออกเป็นสามภาคด้วยกัน กล่าวคือ

  • ภาคที่หนึ่ง “ปกป้อง” เนื้อหาจะเกี่ยวกับความรู้ทั้งหลายที่ทุกผู้คนสมควรจะรับรู้ไว้ เพื่อที่จะสามารถดำรงคงอยู่ในโลกนี้อย่างเหมาะสม และมีความสุขตามอัตตภาพที่พึงมีพึงได้ เป็นการปกป้องตนเองไม่ให้ตกต่ำไปสู่ความเสื่อมทั้งหลาย
  • ภาคที่สอง “รักษา” เนื้อหาจะเกี่ยวกับความรู้ทั้งหลายที่ว่าด้วยเรื่องของการเฝ้ารักษาจิตวิญญาณของตนให้ดำรงคงอยู่ในคุณธรรมตามสมควรแก่ภูมิรู้แห่งตน แม้จะยังไม่สามารถก้าวล่วงสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายอย่างสิ้นเชิง
  • ภาคที่สาม “อยู่เหนือ” เนื้อหาจะเกี่ยวกับความรู้ทั้งหลายที่มุ่งเน้นไปสู่ความวิมุติหลุดพ้น พาตนออกจากห้วงแห่งโลกีย์วิสัย ข้ามพ้นสู่ฟากฝั่งอันเกษม ตื่นขึ้นจากความฝันทั้งหลาย และเข้าสู่ความเป็นพุทธะภาวะ คือผู้ตื่น ผู้เบิกบานอันเป็นนิรันดร์
จากเนื้อหาทั้งสามภาคดังที่กล่าวมา ผู้เรียบเรียงจึงได้ทำการจัดแบ่งเนื้อหาหลักธรรมที่ท่านอาจารย์ได้ถ่ายทอดสั่งสอนไว้ทั้งหมด ออกเป็นบทย่อยๆ กระจายไปอยู่ในแต่ละภาคอย่างเท่าเทียมกัน โดยไล่เรียงกันไปตามระดับของเนื้อธรรมนับแต่ภาคที่หนึ่งถึงภาคที่สาม เป็นเบื้องต้นบทที่ 1-10 เบื้องกลางบทที่ 11-20 และเบื้องปลายบทที่ 21-30 ตามลำดับ ทั้งยังได้ขออัญเชิญคำนำที่ท่านอาจารย์อิสระวาทีได้กรุณาเขียนไว้ให้ในหนังสืออรรถอิสระฉบับดั้งเดิมมารวบรวมไว้ด้วย เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจต่อผู้อ่านทุกท่าน ความว่า

ชาวพุทธที่ไม่ได้ผ่านการบวชเรียน หรือบวชเรียนเพียงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 9 วัน 10 วัน หรือ 1 เดือน รับรองได้ว่าภาษาบาลี เป็นปัญหาแน่นอน เวลาเมื่อพระท่านสั่งสอน โดยกล่าวคำบาลี หรือกล่าวอ้างภาษาบาลี เราย่อมมีหน้าที่พนมมือรับฟังอย่างเดียว และไม่เข้าใจด้วย

หนังสือ “อรรถอิสระ” เล่มนี้ พูดถึงพุทธศาสนา คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเป็นภาษาชาวบ้าน ผู้มีความรู้น้อย เช่น พวกเราก็เข้าใจได้ คำง่ายๆ สั้นๆ นั้นดีต่อการจดจำ และเข้าใจ เป็นการพาเราเข้าไปสู่การลองปฏิบัติตาม ปฏิบัติได้ก็เป็นบุญ ปฏิบัติไม่ได้ก็แล้วไป อย่าคิดมาก อย่าติดยึด และอย่าท้อใจ ลองปฏิบัติอย่างสบายๆ โดยไม่หวังผล แต่ให้ถือว่า เป็นการพักผ่อนร่างกาย แล้วท่านผู้อ่านอาจจะรู้ว่า มีอะไรดีๆ ในพระพุทธศาสนา โดยไม่คาดฝัน

ท่านผู้รู้ ผู้มีอาจารย์มาก ผู้รู้ตำรามาก กรุณาอ่านให้จบก่อน ใช้ปัญญาพิจารณาตาม แล้วค่อยโยนหนังสือเล่มนี้ทิ้ง

อิสระวาที, 10 กรกฎาคม 2543
ท้ายสุดนี้ก็ต้องขอออกตัวไว้ว่า สำหรับเนื้อหาสาระทั้งหลายที่ผู้เรียบเรียงได้นำมารวบรวมไว้นี้ หากยังมีสิ่งบกพร่องอันใดที่ผู้รู้พึงตำหนิ ผู้เรียบเรียงก็ขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว ส่วนคุณความดีหรือสาระประโยชน์อันใดที่พอมีอยู่ ก็ขอน้อมบูชาแด่คุณแห่งท่านอาจารย์อิสระวาที และคณาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของพวกเราชาวคณะศิษย์ในสำนักทุกคน

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone01/blg04/main.php

First contact message

Blog นี้ถูกสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการใช้เป็นพื้นที่อีกหนึ่งช่องทาง ในการประชาสัมพันธ์สื่อสารเกี่ยวกับ บทความ ข่าวสาร กิจกรรม และการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเว็บไซท์ http://www.daow8.com/ และ http://www.firenine.com/ ซึ่งผู้เขียนได้ทำหน้าที่เป็น webmaster บริหารจัดการอยู่ ในขณะเดียวกันก็ประสงค์จะใช้เป็นช่องทางให้เพื่อนสมาชิกทุกท่าน สามารถ post ข้อความพูดคุย ติชม หรือแสดงความคิดเห็นต่างๆ เข้ามายังตัวผู้เขียน เกี่ยวกับการให้บริการและการนำเสนอเนื้อหาสาระ พร้อมบริการต่างๆ ที่มีอยู่ในเว็บไซท์ดังกล่าวทั้งสอง เพื่อที่ผู้เขียนจะสามารถใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไขเว็บไซท์ ให้มีเนื้อหาสาระและรูปแบบตรงตามความต้องการของเพื่อนสมาชิกให้มากที่สุด

อนึ่ง เพื่อเป็นการรักษามารยาทและธรรมเนียมอันดีของการใช้งานเครือข่ายข้อมูลสาธารณะ อย่างอินเตอร์เน็ตนี้ ผู้เขียนจึงจำต้องขอความกรุณาให้เพื่อนสมาชิกทุกท่าน โปรดงดเว้นการใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ หรือนำเสนอบทความที่ทำให้เกิดความแตกแยก หรือผิดศิลธรรมอันดีของสังคม ตลอดถึงไม่ล่วงละเมิดกฏหมายของประเทศ ทั้งนี้ ผู้เขียนต้องขออภัยเป็นการล่วงหน้า หากจำเป็นต้องลบบางข้อความที่ไม่เหมาะสมออกไป เพื่อให้การใช้งาน blog ดังกล่าวนี้ เป็นไปตามเงื่อนไขที่ทางเจ้าของผู้ให้บริการ blogger ได้กำหนดไว้

สำหรับการเปิดตัวเป็นครั้งแรกนี้ ผู้เขียนจึงขอใช้พื้นที่อีกสักเล็กน้อยในการแนะนำเกี่ยวกับเว็บไซท์ทั้งสองเป็นการเบื้องต้น โดยขอเริ่มจากเว็บ daow8 (ดาวแปด) ซึ่งถูกนำเสนอในรูปแบบของเว็บชมรมหนังสือ (book club) ที่ใช้เผยแพร่บทความแบบให้อ่านฟรี ประกอบด้วยเนื้อหาสาระที่หลากหลาย ทั้ง ปรัชญา ธรรมะ โหราศาสตร์ ตลอดถึงนวนิยายแนว ไซไฟ แฟนตาซี สืบสวนเร้นลับ จิตวิญญาณ และยุทธจักรกำลังภายใน ขณะที่เว็บ firenine จะถูกนำเสนอในรูปแบบของสังคมเมืองแบบเสมือน (virtual society) ที่ใช้ชื่อว่า Fire9 city เนื้อหาสาระส่วนใหญ่จึงค่อนข้างหลากหลายมากกว่า ทั้งยังมีแผนที่จะพัฒนาขึ้นเป็นเว็บไซท์เชิงพาณิชย์ในอนาคต ผู้เขียนจึงถือโอกาสเรียนเชิญท่านที่สนใจ เข้าร่วมเยี่ยมชมเว็บไซท์ทั้งสองมา ณ.โอกาสนี้ด้วย