Wednesday, December 29, 2010

อโลคิน 1 : อสุรพิฆาต

ค่ำคืนนี้แสงดาวค่อนข้างลางเลือน เพราะเมฆฝนที่ปกคลุมอยู่ทั่วแผ่นฟ้า ข้าหันมองดูแถบแสงที่พาดผ่านขอบฟ้าในทุกด้าน แทนการกะประมาณเวลาอย่างคร่าวๆ เพื่อจะดูว่า ใกล้ถึงเวลานัดหมายมากน้อยเพียงใดแล้ว แสงสีที่เห็นออกเขียวเรืองทางขอบฟ้าด้านหนึ่ง บ่งบอกว่าจันทราดวงที่สองคงใกล้จะเคลื่อนคล้อยขึ้นสู่หว่างฟ้าสูงในไม่ช้า และเมื่อมันโผล่พ้นขอบฟ้าด้านนั้นออกมาเมื่อใด คนที่ข้ารอคอยก็คงจะมาถึง

บริเวณที่ข้ารออยู่นี้ เป็นซากสิ่งก่อสร้างโบราณ มันตั้งอยู่บนยอดเขาสูง กระแสลมจึงค่อนข้างแรงและหนาวเย็น ข้าเดินหาอยู่พักใหญ่ก็พบจุดที่พอบังลมได้ มันเป็นส่วนของซากวิหารที่พอมีหลังคาและกำแพงที่ยังพังทะลายไม่หมดเหลืออยู่ ข้านั่งลงบนเสาหินต้นหนึ่งที่หักโค่นลงมานอนกองอยู่ที่พื้น โดยหันหน้าไปทางขอบฟ้า รอคอยให้จันทราดวงใหญ่ลอยโผล่พ้นขึ้นมา

ข้าไม่รู้ว่า สถานที่นี้เป็นที่ใด แต่รู้อยู่อย่างว่า มันไม่ใช่มิติภพของมนุษย์ เพราะข้ามิได้มาด้วยกายเนื้อของมนุษย์ หลังได้รับบัญชาจากต้นสังกัดจิตวิญญาณแห่งข้า ข้าก็ไม่ทีทางเลือกอื่น นอกจากกระทำตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย และได้เดินทางมาเฝ้ารออยู่ ณ.สถานที่นี้ เป็นเวลาเนิ่นนานพอสมควรแล้ว ข้าหันไปมองที่ขอบฟ้าอีกครั้ง แสงสีเขียวเรืองเริ่มส่องสว่าง แสดงว่าจันทราดวงที่สองคงใกล้โผล่พ้นขอบฟ้าออกมาในไม่ช้า และข้าก็ตั้งตาเฝ้ารอต่อไปด้วยความสงบ

และทันทีที่จันทราที่ข้ารอคอยได้ปรากฏส่วนโค้งขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมา ทาทาบเป็นฉากหลังของทิวเขาทางขอบฟ้าด้านนั้น ร่างหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นที่บริเวณใจกลางของซากวิหาร ทั่วร่างแผ่วพลิ้วไปด้วยริ้วแสงที่เจิดจ้า แม้จะไม่คุกคามสายตา แต่ก็เพียงพอที่จะบดบังจนไม่สามารถแลเห็นเรือนร่างที่อยู่ภายในได้ชัด เขาก้าวเข้ามาใกล้ ข้ารีบลุกขึ้นยืนต้อนรับในฐานะผู้น้อย กายแสงนั้นหันมองรอบตัวก่อนจะมาหยุดที่ข้า และบอกว่า สถานที่นี้เดิมทีเป็นมหาวิหารที่สวยงาม รู้จักกันในนาม มหาวิหารแห่งคอนรีนส์

ร่างนั้นบอกให้ข้านั่งลงตามสบาย เห็นเขากวาดมือไปคราหนึ่งก็ปรากฏกองไฟลุกโชนขึ้นที่พื้น ไอร้อนของมันทำให้ช่วยผ่อนคลายความหนาวลงได้มาก แล้วเขาก็ทรุดนั่งลงบนหินใหญ่อีกก้อนคนละฟากกับกองไฟนั้น ก่อนจะประกาศนามของตนว่า อาร์โลคิน ข้าก็พยักหน้ารับทราบ และบอกกล่าวถึงภารกิจที่ข้าได้รอบมอบหมายมาจากต้นสังกัดของข้า ในนามของสายงานอนันตทัศนา อาร์โลคินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบอกว่า นายของข้าเป็นหนึ่งในสหายสนิทของเขา ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องราวในอดีตที่ผ่านพ้นไป แต่เมื่อเป็นดำริของเหล่าสหาย เขาก็ไม่ขัดข้อง กล่าวเสร็จเขาก็นิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ตามลำพังอีกครู่ใหญ่ ข้าก็ได้แต่นิ่งรอไม่บังอาจที่จะไปเร่งเร้าแม้สายตา

อาร์โลคินหันหน้ามาเปรยขึ้นต่อ เขายังคงเน้นว่าการถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาในอดีตภูมิของเขาในครั้งนี้ เป็นมติของกลุ่มสหายสนิท ที่เห็นพ้องต้องกันว่า มหาตำนานของเขา จะเป็นประโยชน์ที่เกื้อกูลต่อผู้ที่อาจหลงเดินในทางที่ผิดพลาดเช่นวิญญาณของเขาในอดีต ข่าวสารเหล่านี้จะช่วยให้คนเหล่านั้น สามารถตระหนักรู้ในสิ่งที่ตนเองกำลังดำรงอยู่หรือดำเนินไป เผื่อว่าจิตวิญญาณเหล่านั้น จะสามารถพลิกผันชะตากรรมและแปรเปลี่ยนหนทางได้ก่อนที่จะถลำลึกจนยากแก้ไข อาร์โลคินค่อยบอกเล่าถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความตั้งใจในครั้งนี้ ข้าก็ได้แต่บันทึกลงในสมุดไว้ เขาเพียงปรายตาดูแต่ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร แววตาที่มองผ่านข้าไปยังขอบฟ้าอีกด้าน คล้ายกำลังหวนรำลึกย้อนทวนกลับไปในอดีตที่สุดแสนไกล

อสุรพิฆาต อาร์โลคินเปรยขึ้น เขาจะเริ่มต้นมหาตำนานในเรื่องนี้ มันเป็นภพชาติที่นานแสนนานในอดีต จนเกินกว่าจะประมาณเวลาได้ เป็นภพภูมิที่เขามีกำเนิดอยู่ในสายพันธ์อันดุร้ายแห่งอสุรสัตว์ ผู้มีแต่ความโหดเหี้ยมไร้เมตตา มีชีวิตอยู่ด้วยการกัดกินสัตว์อื่นเป็นอาหาร มันเป็นยุคสมัยในภพชาติต้นๆ ของเขาที่ยังหลงระเริงอยู่ในความรุนแรง เลือดเนื้อ และการล่าสังหารอันไม่จบสิ้น เป็นหนึ่งในหลายภพชาติที่เขาจมอยู่กับการใช้ความรุนแรง การฆ่าฟัน ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและความตาย อาร์โลคินกล่าวพร้อมแววตาที่สลดสังเวชลง จนข้าพอจะจับความรู้สึกของเขาได้ ผ่านริ้วแสงที่แผ่วพลิ้วอยู่ตลอดเวลานั้น ขณะที่เขาเพ่งมองนิ่งไปที่กองไฟบนพื้น

เรื่องราวทั้งหมดนั้นได้เริ่มต้นขึ้นในโลกธาตุแห่งหนึ่ง ที่รู้จักกันในนาม ฮันเรอาร์ ในโลกธาตุแห่งนั้นมีมิติภพย่อยจำนวนมาก แต่เขาจะพูดถึงเฉพาะดวงดาวที่เขากำเนิดและอาศัยอยู่เท่านั้น มันคือ มิติภพแห่งโอเร็น อาร์โลคินเงยหน้ามาจากกองไฟ ก่อนจะบอกกล่าวต่อ เรื่องราวที่เขากำลังจะบอกเล่าจึงวนเวียนอยู่ในดวงดาวแห่งนี้ และอาจมีบ้างที่ต้องกล่าวถึงมิติภพย่อยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งตัวบุคคลทั้งหลายที่มีบทบาทข้องเกี่ยวอยู่ในฉากตอนชีวิตทั้งหมดในภพชาตินั้น ข้าได้ถามแทรกขึ้นเมื่อเขากล่าวจบ เกี่ยวกับสถานที่นัดพบแห่งนี้ มันมีความหมายใดเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาจะเล่าหรือไม่ และหากข้าคาดไม่ผิด สถานที่นี้จะต้องเป็นมิติภพแห่งโอเร็นอย่างแน่นอน

อาร์โลคินหัวเราะเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาพยักหน้ารับแทนการยืนยัน ก่อนจะลุกขึ้นผายมือเชื้อเชิญให้ข้าหันมองตามไปโดยรอบเศษซากของมหาวิหารโบราณแห่งนี้ ทั้งบอกว่าที่เขาเลือกนัดพบข้าในสถานที่นี้ เพราะมันคือสถานที่สำคัญ ซึ่งมีผลต่อการพลิกผันความเข้าใจของเขาทั้งหมดในภพชาตินั้น และได้ฉุดกระชากเขาให้ออกพ้นจากอิทธิพลแห่งความรุนแรง และความกระหายเลือด ทำให้เขาได้พบคำตอบที่แจ้งชัดว่า วิถีทางที่เขาดำเนินอยู่นั้น มิใช่คำตอบที่เขามุ่งมั่นแสวงหา ไม่มีความรุนแรงใดที่จะหยุดยั้งความรุนแรงด้วยกันได้ เพราะเมื่อมีผู้ใช้ความรุนแรง ก็ย่อมมีผู้ที่รุนแรงกว่า สืบต่อไปไม่จบสิ้น อาร์โลคินกล่าวแล้วเดินกลับไปทรุดนั่งลง ข้ายังคงบันทึกตามทุกคำกล่าวของเขา อาร์โลคินค่อยมองไปที่ขอบฟ้าไกลอีกพักใหญ่ แล้วเขาก็เริ่มบอกเล่าเพื่อถ่ายทอดทุกรายละเอียดของเรื่องราว ดังที่ทุกท่านจะได้พบเห็นในมหาตำนานบทนี้

ติดตามอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone05/blg02/main.php

Saturday, December 11, 2010

อุบัติการเหนือสำนึก

ฟากฟ้าแห่งอนันตกาลยังคงแจ่มกระจ่าง และยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางเส้นทางแห่งกาลเวลาและเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ล้วนถูกบันทึกไว้จนหมดสิ้นแล้วในสนามความทรงจำรวมของจักรวาล โดยไม่มีการตกหล่น แม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่งของวินาที ทุกเหตุการณ์และฉากตอนของความทรงจำ ล้วนปรากฏอยู่อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในสนามรวมของจักรวาลทั้งหมดนี้ และผู้เขียนก็เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้น

นานแสนนานมาแล้ว จนไม่อาจประมาณกาลเวลาที่แน่นอนได้ จนแม้ตัวผู้เขียนเองก็ล้วนลืมเลือนไปจนสิ้นแล้ว ว่าตนเองเริ่มต้นจากที่ใด และกำลังจะเดินทางไปยังแห่งหนไหน ความจริงแล้วในท่ามกลางฟากฟ้าแห่งอนันตกาล ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ล้วนมิได้ดำเนินไปเป็นเส้นตรง ทุกสิ่งคาบเกี่ยวเชื่อมโยงกันจนเป็นหนึ่งเดียว ร้อยเรียงสอดประสานไปตามท่วงทำนองแห่งบทเพลงของกาลเวลาและอวกาศ ไม่มีสิ่งใดสามารถเล็ดลอดไปจากความทรงจำอันเร้นลับและละเอียดอ่อนเหล่านี้ได้

ทุกวันคืนล้วนปรากฏขึ้นบนดินแดนที่แปลกประหลาด ดวงดารายังคงพร่าพรายเต็มครอบฟ้า การเดินทางอันยาวไกลไร้จุดหมาย ยังคงดำเนินอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน เพื่อค้นหาเรื่องราวหรือตำนาน ที่จะถักทอขึ้นเป็นความทรงจำอันมิรู้สิ้น สืบสานและต่อเนื่องยาวนาน จากจักรวาลแล้วจักรวาลเล่า พาดผ่านไปทั้งจินตนาการและความเป็นจริง จนยากที่จะระบุบ่งบอกได้ว่า สิ่งใดที่เป็นจริง และสิ่งใดที่เป็นเพียงความคิดฝันอันไร้ตัวตน

หากจะถามคำถามนี้ออกไป เชื่อว่าความเงียบงันแห่งฟากฟ้าจะเป็นคำตอบเพียงหนึ่งเดียวที่ท่านจะได้รับ เพราะในท่ามกลางอนันตกาลอันยิ่งใหญ่นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น ในขณะเดียวกันมันก็ล้วนมิอาจก้าวก่ายหรือเข้าถึงได้ นี่คือมายาการอันปรวนแปร แม้แต่ชีวิตที่ทุกท่านประสบพบเห็นและดำรงอยู่ในทุกวันคืนที่ผ่านพ้นไป ทั้งหมดนั้นก็ล้วนเป็นเพียงมายาภาพที่มิอาจสัมผัสจับต้อง ไม่แม้แต่จะไขว่คว้าไว้ในกำมือ เพราะทุกครั้งที่ท่านนึกถึงมัน สิ่งที่ท่านกำลังใฝ่ฝันอยู่นั้น ก็ได้เลื่อนลอยหลุดหายไปในกาลเวลาจนหมดสิ้นแล้ว

นี่คือสภาพอันคลุมเครือของจักรวาลที่ขนานควบคู่กันอยู่นับอนันต์ มีจักรวาลก่อเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา กระทั่งในทุกครั้งที่ท่านหวนคิดคำนึง จักรวาลนับอนันต์ก็ได้ผุดพรายขึ้นแล้วในมโนสำนึกของท่านทั้งหลาย มันไม่เพียงแต่กำเนิดเกิดขึ้นในฉับพลันทันใดเท่านั้น แต่ยังจะดำเนินยาวนานสืบต่อไปไม่จบสิ้น ขอแสดงความยินดีต่อทุกท่าน ผู้เป็นดังพระผู้สร้าง ผู้ให้กำเนิดแก่จักรวาลน้อยใหญ่อยู่ตลอดเวลา จงตระหนักรู้ไว้เสมอว่า กาลเวลาและเหตุการณ์ในทุกจักรวาลล้วนอุบัติบังเกิดขึ้นด้วยจินตนาการของทุกคน ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

มันไม่มีความผิดความถูกใดๆ ที่จะต้องหมกมุ่นกังวลใจ เมื่อต้องตัดสินชี้ขาดลงไปในสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะในอนันตกาลไม่มีทั้งความจริงหรือความเท็จ สรรพสิ่งล้วนดำเนินไปบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันไม่จบสิ้น เป็นโยงใยที่เกาะเกี่ยวสัมพันธ์และเชื่อมประสานกันไปอย่างไร้ขอบเขตสิ้นสุด ไม่มีคำว่าพรมแดนในพจนานุกรมของกาลเวลา หลายท่านอาจเข้าใจว่า กาลเวลามีเพียงมิติเดียวคือความยาวนานนับอนันต์ แต่แท้จริงแล้ว กาลเวลาได้ห่อหุ้มทุกเหตุการณ์และทุกมิติไว้ในตัวมันเอง ในขณะเดียวกันทิศทางของกาลเวลาก็ไม่มีระบบระเบียบใดๆ ที่จะไปกำหนดบัญญัติได้ มันเหมือนกับจะมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง หรืออาจกล่าวได้ว่า ความพัวพันอันยุ่งเหยิงทั้งหมด ก็คือเส้นทางอันแท้จริงของกาลเวลา จึงอาจถือได้ว่ามันเป็นวิถีแห่งความโกลาหลโดยแท้

ผู้เขียนดำรงอยู่บนความเข้าใจอันลึกซึ้งในสิ่งเหล่านี้ พรมแดนของจิตวิญญาณไม่อาจจำกัดขอบเขตแห่งความทรงจำใดๆ ไว้ได้ เพราะมันเป็นความจำร่วมของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล ท่านมีหน้าที่เพียงดำเนินไปตามเส้นทางที่มันเอื้ออำนวยไว้ หากท่านยินยอมให้มันกำหนดกะเกณฑ์หนทางชีวิตของตัวท่านเอง ผู้เขียนเป็นผู้หนึ่งที่ไม่ประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น ไม่มีเส้นทางสำเร็จรูปใดๆ ที่จะผ่านการเลือกเฟ้นที่สมบูรณ์แน่นอนตายตัว อย่างมากก็เป็นเพียงความเป็นไปได้ที่จะเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง และในความเป็นจริงก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเลือก ท่านจะเลือกไปทำไม ในเมื่อทุกเส้นทางล้วนมีความเป็นไปได้เท่าเทียมกัน

จงอย่าถามหาความแน่นอนเที่ยงแท้ในความไร้กฏเกณฑ์ ในเมื่อบนความน่าจะเป็น ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมที่จะบังเกิดและสิ้นสูญ ความเสี่ยงบังเกิดขึ้นในทุกการรับรู้ ที่ล้วนดำเนินไปตามอำนาจในการตัดสินใจ หากคิดว่าท่านมีกำลังมากพอ ก็ลองเลือกเส้นทางดู แล้วท่านจะพบว่าทุกครั้งที่ท่านเลือกทางใดทางหนึ่ง ตัวท่านเองก็จะเดินไปบนเส้นทางทุกหนแห่งที่เป็นไปได้ทั้งหมดนั้น แล้วจะมีประโยชน์อันใดที่จะมัวเลือกให้เสียเวลา เมื่อทุกเส้นทางล้วนต้องก้าวเดิน สิ่งที่จะทำได้ก็มีเพียงการย่างเท้าออกไป แล้วตัวท่านจะปรากฏขึ้นโดยพร้อมเพรียงในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางจักรวาลคู่ขนานนับอนันต์นั้น

ผู้เขียนในฐานะนักเดินทางท่องเที่ยวไปบนเส้นเวลาและเหตุการณ์ ข้ามพ้นไปยังจักรวาลคู่ขนานแห่งแล้วแห่งเล่า บันทึกทั้งหลายต่อไปนี้ ที่กำลังจะปรากฏต่อสายตาของทุกท่าน ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้เขียนได้มีโอกาสไปประสบพบเห็นมา มันจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกท่านที่ได้สัมผัส สามารถพาตนเองหลุดพ้นออกจากขอบเขตและข้อจำกัดของความจริงและจินตนาการ หลุดพ้นไปจากความจำเจแบบเดิมๆ ของชีวิต จงติดตามเรื่องราวทั้งหลายนี้มาด้วยกัน ร่วมเดินทางไปพร้อมกับผู้เขียน เพื่อร่วมเป็นพยานของอุบัติการที่แสนมหัศจรรย์และอยู่เหนือไปจากคำบรรยายทั้งปวง

และพึงตระหนักว่า เรื่องราวที่จะท่านจะได้พบเห็นต่อไปนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่พ้นไปจากสามัญสำนึกปกติของทุกผู้คน มันจะทำให้ทุกท่านพบว่า ฟากโพ้นแห่งคติความเชื่อที่ทุกคนคุ้นเคยและเข้าใจว่าเป็นความจริงนั้น แท้จริงแล้วมันมิได้เป็นดังที่ท่านจะนึกคิดหรือจินตนาการไปได้เสมอไป ยังมีสิ่งที่เร้นลับและซับซ้อนเกินกว่าที่จะใช้เพียงสามัญสำนึกปกติในการทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างแจ่มกระจ่าง และอุบัติการเหนือสำนึกเหล่านี้ จะเป็นเครื่องยืนยันคำกล่าวทั้งหมดนี้ได้เป็นอย่างดีด้วยตัวของมันเอง

ติดตามอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone04/blg02/main.php