Thursday, September 16, 2010

สนทนายามสายันต์

คงเป็นสิ่งที่ปฏิเสธได้ยากว่า แม้แต่ในยุคปัจจุบันที่วิทยาศาสตร์มีความเจริญก้าวหน้าไม่หยุดนิ่ง โดยดูได้จากวิทยาการหรือเทคโนโลยีต่างๆ ที่ได้รับการพัฒนาออกมา ในรูปแบบของอุปกรณ์เครื่องใช้ ที่ล้วนเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของพวกเราอย่างไม่อาจจะแยกออกจากกันได้ หรืออาจกล่าวอีกนัยก็คือไม่สามารถขาดได้นั่นเอง แต่ถึงกระนั้น คำถามทั้งหลายเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย หรือเรื่องราวของโลกวิญญาณ ก็ยังคงไร้คำอธิบายที่ชัดเจนแบบเป็นรูปธรรม หรือที่เรียกได้ว่า ไม่เป็นที่ยอมรับในแวดวงของวิทยาศาสตร์ จนถึงขั้นที่อาจปฏิเสธไปเลยด้วยซ้ำว่า เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์

มันเป็นการง่ายที่จะขจัดสิ่งที่ตนเองไม่สามารถทำความเข้าใจ หรือหาคำอธิบายที่เหมาะสมด้วยบริบทแห่งทฤษฎีที่ตนเองยึดถืออยู่ แต่มันยากกว่าที่จะทำใจเป็นกลาง และเปิดใจกว้างออกยอมรับข้อมูลเหล่านั้นมาประกอบการพิจารณา หากทฤษฎียังไม่สามารถอธิบายได้ในปัจจุบัน ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีคำอธิบายที่มีเหตุผลในอนาคต เมื่อทฤษฎีก็เป็นเพียงแนวคิดล่าสุด ที่ถูกใช้ในการอธิบายสิ่งต่างๆ ที่ทฤษฎีรองรับได้ และเป็นที่ยอมรับของผู้คนในวงการ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่ความจริงอันสมบูรณ์หรือสัจจะขั้นสุดยอดที่จะไม่ถูกแปรเปลี่ยนอีกต่อไป ดังนั้นการยึคติดอยู่กับสิ่งที่ตนเชื่อถือ แล้วปฏิเสธสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ จึงง่ายกว่าในแง่ของการกำจัดปัญหาออกไป แต่มันไม่ก่อประโยชน์ใดๆ ทั้งต่อตัวของคนที่มีความคิดเช่นนั้น หรือต่อคนอื่นโดยส่วนรวมทั้งหลาย

การเปิดใจยอมรับว่า สิ่งที่ไม่อาจหาคำอธิบายได้อย่างเป็นรูปธรรม ก็เป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มข้อมูลที่จะถูกนำมาพิจารณาหรือเรียนรู้อย่างจริงจังต่อไป หาใช่สิ่งที่ไร้สาระโดยสิ้นเชิง ผ่านการตัดสินจากแค่เพียงความไม่รู้ของตนเองเท่านั้น การทำใจเป็นกลางๆ ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่ก็ไม่ถึงกับสรุปลงไปตายตัวว่าไม่เชื่อ ขอเพียงทำใจสบายๆ และเปิดกว้างออกรับรู้ข้อมูลและประสบการณ์ที่จะผ่านเข้ามาจากการทดสอบทดลองสารพัดวิธีอย่างมีระบบ ผู้เขียนก็เชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วท่านย่อมจะได้รับทราบข้อเท็จจริงด้วยตัวเองตามสมควร

แต่จะอย่างไรก็ตาม บทความนี้คงมิได้มีจุดประสงค์ที่จะนำเสนอวิถีทางพิสูจน์ในเรื่องราวใดๆ ที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ให้การยอมรับอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะเรื่องของชีวิตหลังความตาย หรือที่รู้จักกันในนามของโลกวิญญาณ ซึ่งคนส่วนใหญ่เชื่อกันว่า เป็นที่ดำรงอาศัยอยู่ของเหล่าภูติผีปีศาจ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันสยดสยอง น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง เป็นที่หวาดกลัวของบรรดาผู้คนในโลกมนุษย์แม้ในยุคที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าล้ำยุคถึงเพียงนี้ สาเหตุหนึ่งที่น่าจะเป็นข้อสังเกตุก็คือ ความหวาดกลัวทั้งหลายทั้งปวงที่ผู้คนมีต่อเรื่องของโลกวิญญาณนั้น ก็ล้วนมาจากความไม่รู้ หรือการไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตลอดถึงความเป็นอยู่ของพวกเขาในโลกเหล่านั้น นี่จึงน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่อยู่เบื้องหลังความหวาดกลัวของผู้คนทั้งหลายนั้น

จุดประสงค์ของบทความนี้ จึงต้องการจะเป็นอีกหนึ่งช่องทาง หรือปากเสียงที่จะสื่อความถ่ายทอดเรื่องราวบางแง่บางมุมของโลกวิญญาณมาให้ท่านผู้อ่านที่สนใจได้รับรู้ แต่เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งใดๆ ที่อาจจะมีขึ้นจากกรอบของคติความเชื่อใดๆ ในสังคม ผู้เขียนจึงจำต้องนำเสนอไว้ในรูปของนวนิยาย ในแนวเรื่องเล่า ผ่านพิธีกรผู้จัดรายการ Twillight Talk หรือ สนทนายามสายันต์ ที่ถ่ายทอดตรงมาจากโลกวิญญาณ เชิญทุกท่านได้ติดตามไปกับการดำเนินรายการของ เอิร์นนิ่ง เฮลล์ พิธีกรคนดังจากดินแดนหลังความตาย ตามเขาไปรับรู้เกี่ยวกับความเป็นอยู่ และบทบาทที่พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกแห่งชีวิตก่อนความตาย ที่เราท่านอาศัยอยู่

อนึ่ง เพื่อความสบายใจของท่านผู้อ่านทุกชาติศาสนา ผู้เขียนจึงต้องขอออกตัวว่า เรื่องเล่าเหล่านี้เป็นเพียงเนื้อหาสำหรับเสพเพื่อความบันเทิงเท่านั้น มิได้มีเจตนาใดๆ ที่จะก้าวล่วงหลักธรรม ปรัชญา หรือคติความเชื่อของลัทธินิกายใดๆ ทั้งสิ้น ขอให้ทุกท่านได้โปรดทำความเข้าใจกันตามนี้ เพื่อที่ท่านจะได้ร่วมติดตามการดำเนินรายการของพิธีกรคนดังได้อย่างเปี่ยมอรรถรส และสามารถดื่มด่ำกับทุกบรรยากาศ และความรู้สึกได้อย่างเต็มที่ โดยไร้กรอบข้อจำกัดหรือขีดขั้นใดๆ อันอาจจะขัดขวางความบันเทิงที่พึงมีพึงได้โดยไม่จำเป็น

การดำเนินรายการของเอิร์นนิ่ง เฮลล์ ถูกวางไว้ในหลากหลายลีลา ทำให้รายการสนทนายามสายันต์นั้น ปิ่มๆ จะเข้าข่ายของรายการวาไรตี้โชว์ เพียงแต่จะเน้นไปที่เรื่องราวสยองขวัญสั่นประสาท ในมุมมองของผู้อ่านชาวมนุษย์ ซึ่งสำหรับชาวโลกวิญญาณแล้ว เรื่องเล่าเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากการพูดคุยเรื่องราวในชีวิตประจำวันของพวกเขาเท่านั้น หาได้มีความประหลาดพิสดารใดๆ ดังนั้น ในบางแง่มุมของรายการจึงอาจปรากฏอารมณ์ขันแบบชาวโลกวิญญาณ ซึ่งท่านผู้อ่านอาจจะไม่รู้สึกตามไปด้วย ก็มิเป็นไร เพราะจุดประสงค์ของผู้เขียนและผู้จัดทำรายการดังกล่าวนั้น ต้องการเพียงนำเสนอเรื่องราวในมุมมองจากซีกฝั่งของชีวิตหลังความตายบ้าง เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ทุกท่านยังไม่คุ้นเคย เลยพาลไม่เข้าใจ หรือไม่กล้าที่จะทำความเข้าใจกันไปด้วยซ้ำ

ท้ายสุดนี้ผู้เขียนก็ยังหวังในความใจกว้างของท่านผู้อ่านทั้งหลาย ก่อนที่จะพลิกไปอ่านเนื้อเรื่องหรือติดตามชมรายการของพวกเรา ทั้งนี้ก็เพื่อความเข้าใจที่ท่านผู้อ่านอาจจะได้รับจากการติดตามเรื่องราวทั้งหมดนี้ และมันจะทำให้ความรู้สึกของท่านกับพวกเราชาวโลกวิญญาณ ไม่ห่างไกลเกินกว่าจะเชื่อมโยงถึงกันได้ จงจำไว้เสมอว่า โลกแห่งชีวิตหลังความตาย ก็ไม่ต่างจากโลกที่พวกท่านอาศัยอยู่ มันอาจจะเหมือนด้านทั้งสองของเหรียญเดียวกัน ที่กำลังหมุนวนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นมิติภพของมนุษย์ หรือชาวโลกหลังความตายทั้งหลาย ต่างก็ไม่ได้มีความแปลกแยกออกจากกันแต่ประการใด และแท้จริงแล้วธรรมชาติของพวกเราทั้งสองโลกก็ล้วนเป็นเพียงดวงวิญญาณที่ร่อนเร่สัญจรกันไปอย่างไร้จุดหมายปลายทางทั้งสิ้น แล้วท่านอาจจะพบว่า ช่องว่างระหว่างพวกเรานั้นน้อยกว่าที่ท่านคิดไว้แต่แรกมากมายนัก กระทั่งว่า ต่างฝ่ายอาจต่างรายล้อมอยู่รายรอบซึ่งกันและกันตลอดเวลาด้วยซ้ำไป

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.firenine.com/zone12/blg01/main.php

Thursday, September 9, 2010

คัมภีร์ถอดรหัส 1 : ผู้ปรับชะตา

หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นด้วยความพยายามที่จะตอบโจทย์ เกี่ยวกับการไขรหัสแห่งความเร้นลับของชีวิตที่ซ่อนเร้นอยู่ในเส้นทางแห่งกาลเวลา ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยอิงอาศัยข้อมูลเชิงสถิติที่ได้จากการเฝ้าสังเกตุและเก็บบันทึกข้อมูลของบรรดาผู้คนหลายชั่วรุ่น กระทั่งได้เป็นสูตรสำเร็จหรือกฏเกณฑ์ที่เพียงพอจะพยากรณ์เหตุการณ์ซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งคำชี้แนะในการปรับเปลี่ยนแก้ไขชะตากรรมให้ดำเนินไปบนหนทางที่ถูกต้อง และกลมกลืนกับวิถีของธรรมชาติ เพื่อช่วยให้ชีวิตได้พบกับความสงบสุขตามอัตตภาพของแต่ละบุคคล

ส่วนการที่เรียกขานเป็นคัมภีร์ ก็เนื่องมาจากเนื้อหาอันหลากหลาย ที่เกิดขึ้นจากความพยายามในการผนวกรวมเอาสรรพศาสตร์และวิชา ที่จะถูกใช้ในการถอดรหัสของชะตากรรม มารวบรวมเรียบเรียงเอาไว้ในที่เดียว โดยผ่านประสบการณ์การที่ได้จากการศึกษาเรียนรู้ และการลงมือปฏิบัติในสถานการณ์จริง เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาค้นคว้า สำหรับผู้อ่านที่มีความสนใจในศาสตร์แห่งการอ่านและปรับชะตาทั้งหลายนี้ ซึ่งหลายคนคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว ในนามของโหราศาสตร์ แต่ที่ไม่พยายามเรียกขานเช่นนั้น เป็นเพราะผู้เขียนต้องการก้าวให้พ้นออกไปจากกรอบความคิดเดิมๆ ที่นักโหราศาสตร์ทั่วไปดำเนินอยู่ เนื่องจากธรรมชาติมีความหลากหลายและแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ศาสตร์ที่มีอยู่เดิมจึงจำต้องผ่านการปรับแก้ให้ถูกต้องและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในโลกยุคปัจจุบัน

โดยผู้เขียนจะพยายามให้ข้อมูลในเชิงลึก เพื่อที่ผู้อ่านจะสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนกรรมวิธีในการคำนวณ การสังเกตุ การตรวจสอบ และการแปลรหัสความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในธรรมชาติภาวะเหล่านั้น เพื่อให้ได้กระบวนการที่สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เป็นจริง ไม่ใช่เป็นเพียงการท่องจำสูตรแบบเดิมๆ ที่มักจะมีการถ่ายทอดไว้ในหลายกรณี เนื่องจากสังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จนบางครั้งข้อมูลเชิงสถิติดั้งเดิม ซึ่งเก็บกันมาหลายชั่วรุ่นอาจกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยและไม่อาจใช้งานได้จริง ส่งผลให้ไม่สามารถใช้อ่านและถอดรหัสชะตากรรมได้อย่างถูกต้อง เมื่อโลกที่แท้มีสภาพที่แปรปรวนไม่หยุดนิ่ง ศาสตร์แห่งการพยากรณ์และการปรับชะตาเหล่านี้ จึงจำต้องมีพลวัตรในการปรับเปลี่ยนตัวเองให้สามารถก้าวทันยุคสมัยมากยิ่งขึ้น

การบูรณาการองค์ความรู้จากกรรมวิธีอันหลากหลายนั้น ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ เนื่องจากว่าการถอดรหัสของชะตากรรมนั้น จะต้องหาทางประมวลเอาข้อมูลทั้งหมดที่มีอิทธิพลหรือมีนัยสำคัญต่อผังชะตาที่ต้องการวิเคราะห์ มารวมกันไว้ให้ครอบคลุมมากที่สุด ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ตรวจสอบได้อย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในการถอดรหัสข้อมูลทั่วไป เพราะยิ่งมีตัวอย่างของข้อมูลมากขึ้นเพียงใด ก็จะทำให้สามารถหาความสัมพันธ์ในการถอดรหัสข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องและตรงตามความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

มีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องจดจำให้ขึ้นใจไว้ก็คือ นักถอดรหัสที่เก่งจะต้องเป็นนักสังเกตุการณ์ที่ยอดเยี่ยมด้วย เพราะความสัมพันธ์ระหว่างงข่าวสารข้อมูลทั้งหมดนั้น ส่วนหนึ่งจะได้มาจากความแหลมคมในการเฝ้าติดตามการเลื่อนไหลของกระแสข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อหาทางประเมินให้ได้ว่ามีทิศทางการเคลื่อนไหวไปยังที่ใด และมีการแปรเปลี่ยนในช่วงจังหวะหรือท่วงทำนองใดบ้าง ความจริงกระบวนวิธีเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไร เพราะบรรพชนก็ดำเนินการมาในรูปแบบเดียวกันนี้ เพียงแต่ปัจจุบันการประมวลผลข้อมูลปริมาณมหาศาลนั้น สามารถกระทำได้อย่างสะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น โดยผ่านเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ ทั้งในการจัดระบบของข้อมูล การคำนวณ และการวิเคราะห์หรือการแปรความหมายของผลที่ได้รับ โดยเริ่มต้นที่หลักการดั้งเดิมซึ่งโบราณชนทั้งหลายได้กำหนดเป็นกฏเกณฑ์ไว้ให้ แล้วนำมาผสมผสานหรือประยุกต์เข้ากับข้อมูลความเป็นจริง ที่ได้จากการสังเกตุและเก็บรวบรวมเพิ่มเติม เพื่อสร้างเป็นหลักการใหม่ที่จะสามารถใช้ไขรหัสและอธิบายข้อเท็จจริงทั้งหมดได้อย่างถูกต้อง และครอบคลุมสถานการณ์ต่างๆ ได้มากที่สุด

อ่านมาถึงตรงนี้ ทุกท่านคงพอจะทำความเข้าใจได้ระดับหนึ่งแล้วว่า สรรพศาสตร์ทั้งหลายในโลกล้วนมีความเป็นพลวัตร คือเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นไปตามกฏแห่งการวิวัฒน์ตนเองทางอารยธรรมของสังคม ซึ่งย่อมส่งผลกระทบในมุมกว้าง ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ที่กลายมาเป็นพื้นฐานในการสร้างผลิตภัณฑ์นานาชนิด และตัวผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็เข้าไปมีบทบาทและปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คน จนท้ายที่สุดก็ย่อมจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของสังคมในภาพรวมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และเมื่อการดำเนินชีวิตของผู้คนแปรเปลี่ยนไป ก็ย่อมส่งผลต่อพฤติกรรม แนวคิด และมโนคติของพวกเขาเหล่านั้น จนอาจทำให้สูตรสำเร็จหรือกฏเกณฑ์ต่างๆ ที่ได้มาจากข้อมูลเชิงสถิติในอดีต ไม่อาจใช้ได้ทั้งหมด และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ คัมภีร์ผู้ถอดรหัสชะตากรรมเล่มนี้ ต้องดำเนินอยู่บนหนทางแห่งการเปลี่ยนแปลง เพื่อปรับเปลี่ยนกฏเกณฑ์ต่างๆ ทางโหราศาสตร์ดั้งเดิม ให้มีความทันยุคสมัยมากขึ้น

ท้ายสุดนี้ ผู้เขียนก็ต้องขอออกตัวว่า มิใช่ผู้รู้ที่ทรงภูมิปัญญาในด้านนี้เหนือกว่าผู้ใด และเชื่อแน่ว่าย่อมมีผู้รู้ที่เหนือกว่าผู้เขียนอยู่อีกมาก ดังนั้นสิ่งที่ผู้เขียนนำมาถ่ายทอดนี้ จึงขอให้ถือเป็นเพียงภาคขยายส่วนเล็กๆ ของศาสตร์แห่งการพยากรณ์ทั้งหลาย เป็นการนำเสนอแง่มุมความคิด และโลกทัศน์เกี่ยวกับการใช้วิชาพยากรณ์แต่ละสาขา ด้วยทัศนะที่อาจจะแตกต่างออกไปบ้าง ในฐานะผู้ที่สนใจติดตามศึกษาค้นคว้าศาสตร์แห่งการพยากรณ์มากว่าสิบปี ผู้เขียนจึงได้พบเห็นข้อเท็จจริงในหลายกรณีที่ไม่เป็นไปตามกฏเกณฑ์ดั้งเดิมเหล่านั้น จึงทำให้ผู้เขียนต้องทำการปรับแต่งสูตรการคำนวณและหลักเกณฑ์บางส่วนบ่อยครั้ง เพื่อให้มีความสอดคล้องและสามารถอธิบายสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง เรื่องนี้ต้องถือว่าสำคัญมาก เพราะหากการถอดรหัสไม่ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนเพียงพอ ก็ย่อมจะนำไปสู่การปรับแก้ที่ผิดพลาด จนอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่เดิม

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone03/blg01/main.php

Saturday, September 4, 2010

ไขรหัสลับปริศนา

มีคำถามมากมายสำหรับผู้ที่ไม่สามารถก้าวพ้นออกไปจากสัมผัสปกติของมนุษย์ มันทำให้พวกเขาเฝ้าวนเวียนสืบค้นหาคำตอบอยู่ตลอดเวลานับแต่อดีตกาลจวบจนปัจจุบัน ที่สำคัญคือ หากพวกเขายังคงใช้สมมติฐาน ในการศึกษาค้นคว้าบนพื้นฐานแห่งสามัญสำนึกปกติที่พวกเขาคุ้นเคยแล้ว สิ่งที่พวกเขาจะพบก็คงมีเพียงปรากฏการณ์ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตอันจำกัดของสำนึกเหล่านั้น ไม่อาจก้าวพ้นออกไปยังฐานความรู้ร่วมของจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างแท้จริง

บันทึกฉบับนี้จึงเกิดขึ้นพร้อมความพยายามที่จะชี้ประเด็นให้ผู้คนเหล่านั้น ได้เปิดมุมมองโลกทัศน์ออกไปจากวิสัยภาวะปกติที่พวกเขาดำรงอยู่ แม้มันจะไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์พร้อม แต่ก็น่าจะช่วยสะกิดเตือนให้พวกเขาได้เปิดโลกทัศน์ ออกมองหาความจริงของธรรมชาติในแง่มุมที่แตกต่างไปจากเดิม เผื่อว่าบางทีพวกเขาอาจจะสามารถค้นพบหนทางใหม่ๆ ในการเข้าถึงขุมปัญญาแห่งความรู้ ซึ่งจะสามารถให้คำตอบในสิ่งที่พวกเขาต้องการ

หลายๆ บทความในบันทึกฉบับนี้ ผู้เขียนได้นำเอาข่าวสารข้อมูลที่ได้รับมา จากแหล่งข่าวสารต่างๆ ที่หลายเรื่องล้วนอยู่พ้นออกไปจากสามัญสำนึกปกติ และยากที่จะอธิบายให้เกิดความแจ้งชัดในทีเดียว เพราะมันเป็นความรู้ที่ได้มาจากส่วนอื่น หรืออาจกล่าวได้ว่ามาจากมิติภาวะอื่นๆ ในจักรวาล และเมื่อผู้อ่านไม่มีความรู้พื้นฐานที่เหมาะสม จึงย่อมไม่อาจทำความเข้าใจได้ทั้งหมด แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์หลักของบันทึกฉบับนี้ กล่าวคือมิได้มุ่งหวังให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในทันที เพียงแต่ต้องการเปิดประเด็นความคิดเห็น ให้ผู้อ่านได้รับรู้ข่าวสารในแง่มุมที่แตกต่างออกไปจากปรากฏการณ์ปกติสามัญ ซึ่งทุกคนล้วนได้สัมผัสอยู่ทุกวี่วัน

ข่าวสารหลายส่วนที่ได้นำเสนอในบทความหรือบันทึกชุดนี้ จะถูกนำเสนอในลักษณะที่เป็นประเด็นแง่คิด ให้ผู้อ่านนำไปลองพิจารณาตามด้วยมโนคติที่ผู้อ่านแต่ละท่านมีอยู่ โดยในเรื่องนี้ผู้เขียนต้องการให้คำแนะนำบางอย่าง สำหรับการอ่านบันทึกชุดนี้ให้สนุกและไม่เคร่งเครียดจริงจังจนเกินไป ผู้อ่านควรทำใจให้เป็นกลางๆ ไม่ต้องตั้งความมุ่งหมายว่า กำลังอ่านสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งยวดแต่ประการใด ให้คิดเสียว่า เหมือนกำลังอ่านหนังสือนวนิยายเพื่อความบันเทิงสักเล่ม แล้วค่อยติดตามผู้เขียนไปทีละขั้นตอน ท้ายสุดแล้วท่านจะรู้สึกอย่างไรต่อบทความเหล่านี้ก็สุดแล้วแต่ หากถามว่าผู้เขียนมีความคาดหวังใดต่อผลตอบสะท้อนของผู้อ่าน ก็ต้องขอบอกว่า เพียงทำให้ท่านอ่านแล้วสนุกก็น่าจะเกินพอแล้ว

ที่สำคัญบทความหลายเรื่องหลายตอนในบันทึกชุดนี้นั้น ผู้เขียนก็ยอมรับว่า ค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่เป็นวิชาการอยู่ไม่น้อย ดังนั้นหากผู้รู้ที่เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ มาอ่าน ก็สุดแล้วแต่ว่า ท่านจะเห็นประโยชน์จากเนื้อหาในบทความนั้นๆ มากน้อยเพียงใด และอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น จุดประสงค์ของการเขียนบทความเหล่านี้ คือการเสนอข้อมูลข่าวสารมุมมองใหม่ๆ ที่ผู้เขียนพยายามจะคัดสรรเฉพาะที่ค่อนข้างจะแตกต่างออกไป และอาจจะหาอ่านได้ไม่ง่ายนัก ดังนั้นเมื่อเป็นเพียงการเสนอแง่มุมแบบใหม่ของความคิด ท่านผู้รู้ทั้งหลายจึงสามารถนำไปพิจารณาครุ่นคิดเพื่อต่อยอดข้อมูลเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์ต่อไปได้ โดยที่ผู้เขียนมิได้สงวนสิทธิ์ในส่วนเพิ่มขยายที่เกิดจากตัวท่านแต่ประการใด ในทางตรงกันข้ามกลับรู้สึกยินดี ที่จะมีส่วนในการสร้างสรรค์ความคิดหรือทฤษฎีใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป

ในส่วนของประเภทหรือแนวของเนื้อหาสาระที่จะนำเสนอนี้ ก็ต้องบอกว่าค่อนข้างหลากหลาย แรงบันดาลใจหรือจุดมุ่งหมายในการเขียนส่วนใหญ่ จะมาจากคำถามของคนรอบข้าง และท่านผู้อ่านที่แวะเวียนเข้ามาในเว็บไซท์ของดาวแปดดอทคอม และได้ฝากคำถามกันไว้ หลายๆ คำถามมีความซ้ำซ้อนและใกล้เคียงกัน เมื่อทางเว็บไซท์ดาวแปดเห็นว่า มีผู้คนจำนวนมากต้องการทราบ ส่วนหนึ่งจะถูกนำไปตอบไว้ใน Forum แต่เนื่องจากเป็นการตอบคำถามที่หลากหลาย จึงไม่สามารถลงในรายละเอียดได้ แต่จะทำการให้ข้อมูลเบื้องต้น และส่งต่อให้ไปอ่านในรายละเอียด ซึ่งจะปรากฏอยู่ในหนังสือหรือบันทึกชุดต่างๆ ที่สะสมอยู่ในเว็บไซท์ดาวแปดนั้น

ในส่วนของผู้เขียนจึงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ลงรายละเอียดในส่วนของเรื่องราว ที่ค่อนข้างจะเป็นปริศนาในความคิดของหลายๆ คน ที่ยังไม่อาจพัฒนาญาณสัมผัสของตนให้ออกพ้นไปจากสามัญสำนึกปกติ หน้าที่ของผู้เขียนจึงเป็นเพียงคนนำสาร เป็นคนกลางที่จะส่งผ่านและถ่ายทอดข่าวสารต่างๆ เหล่านั้นมาลงไว้ในมิติภาวะส่วนนี้ ความจริงแล้วข่าวสารเหล่านี้ต้องถือว่าเป็นสมบัติส่วนกลางของจักรวาล เป็นฐานความรู้ที่สามารถใช้ร่วมกันได้ทั่วทั้งอนันตโลกธาตุ ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของเป็นการเฉพาะ ขอเพียงท่านสามารถพัฒนาสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า เครื่องรับ หรือญาณสัมผัสในภาษาทั่วไปนั้น จนสามารถจูนไปรับคลื่นความรู้เหล่านั้นได้ ท่านผู้อ่านก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูลในฐานความรู้เหล่านั้นด้วยตนเอง

แต่ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ความรู้พื้นฐานเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่จะทำความเข้าใจข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมา ยกตัวอย่างเช่น ท่านที่ไม่ได้เรียนมาทางฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์ เมื่อนำสมการในวิชาเหล่านั้นไปให้ดู ท่านผู้อ่านย่อมมองเห็นได้ แต่ไม่อาจเข้าใจได้ ฉันใดก็ฉันนั้น แม้ท่านจะสามารถรับทราบความรู้จากอารยธรรมอื่นๆ ในแต่ละมิติภาวะที่ต่างออกไป ท่านย่อมสามารถรับรู้ได้ แต่จะสามารถทำความเข้าใจได้หรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเพื่อที่จะเรียนรู้มันเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ก็ย่อมต้องใช้เวลาพอสมควร ทั้งนี้ขึ้นกับกำลังญาณสัมผัสของท่านจะมีความแก่กล้ามากน้อยเพียงใด ผู้เขียนเคยพบท่านที่สามารถถ่ายทอดได้ทั้งความรู้และความเข้าใจในเวลาเดียวกัน นอกจากนั้นท่านทั้งหลายเหล่านั้นยังสามารถเกิดญาณรู้ที่เป็นมัชฌิมญาณว่า มีความสมควรมากน้อยเพียงใดที่จะถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นออกมาในโลกปัจจุบัน โดยพิจารณาจากระดับของเทคโนโลยีและจริยธรรมในจิตใจของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม เพื่อดูว่าพวกเขาสมควรที่จะรับรู้ข่าวสารนั้นได้แล้วหรือยัง

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone01/blg02/main.php

Wednesday, September 1, 2010

ทันเดอร์ริน 1 : สายลมจันทรา

สิ่งที่บรรพชนในมหาวิหารแห่งแพนโธเรียบอกเล่าสืบต่อกันมา ยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำของชาวแพนธอนทุกคนไม่เสื่อมคลาย ภาพต่างๆ เรื่องราวทั้งหมด มันน่ากลัวและสยดสยองเกินกว่าจะยอมรับได้ ตอนที่โมวีย์มาเยือนดวงดาวบ้านเกิดของพวกเขา ชาวแพนธอนส่วนใหญ่กลับตอบรับ และรอคอยการมาของมันด้วยความยินดี โดยที่ไม่สังหรณ์ใจแม้สักนิดว่า มหันตภัยอันร้ายแรงกำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะ

แม้เหล่าผู้ชาญเวทย์ชาวแพนธอนจะพยายามเตือนสภาสูงแห่งดวงดาวเพียงใด พวกเขาก็คล้ายจะไม่รับฟัง เป็นเพราะพวกเขาทั้งหมด ล้วนตกอยู่ในอำนาจแห่งการโน้มน้าว และการสะกดพลังของพวกโมวีเนียนจนหมดสิ้น หนทางสุดท้าย ชาวแพนธอนส่วนหนึ่งซึ่งไม่ได้ตกอยู่ในอำนาจมนต์สะกดของโมวีย์ จึงจำต้องตัดสินใจละทิ้งดาวมาตุภูมิบ้านเกิด เพื่อหลบหนีไปตักเตือนอารยธรรมของเผ่าพันธ์อื่นๆ ให้รับรู้และเตรียมพร้อมป้องกันการมาเยือนของโมวีย์ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ต้องเกิดซ้ำรอย และลงเอยจบสิ้นเช่นเดียวกับอารยธรรมของพวกเขา ที่สายเกินกว่าจะแก้ไขใดๆ ได้

แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง เมื่อพวยหางที่แสนงดงาม ประหนึ่งสายลมแห่งจันทรา ที่แพรวพราวระยิบระยับ ได้พาดผ่านเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของดาวแพนโธเรีย มันงดงามมาก ทั้งวิจิตรพิศดาร และแพรวพรรณเกินกว่าจะปฏิเสธได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ชาวแพนธอนส่วนใหญ่จะจมดิ่งอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความรู้สึกภายใต้อำนาจแห่งมนต์สะกดถึงเพียงนั้น พวกเขาไม่เพียงเคลิบเคลิ้มหลงใหล แต่ยังดื่มด่ำอยู่กับความสวยงามอันวิจิตรนั้นจนวาระสุดท้ายของชีวิต เมื่อละอองแสงอันพราวระยิบเหล่านั้น ได้หลอมรวมตัวกลับกลายเป็นชีวพลังงานชาวโมวีเนียน และจู่โจมเข้าพรากพาเอาวิญญาณและพลังชีวิตของพวกเขาไปจนหมดสิ้น

การเดินทางหลบหนีของผู้ที่เป็นความหวัง จำต้องเร่งรีบเกินกว่าจะรอช้าได้อีก ชาวแพนธอนส่วนใหญ่ ที่ชาญพลังแห่งเวทย์อันแก่กล้า รวมถึงกองกำลังขุนพลไสยเวทย์ทั้งหมดแห่งมหาวิหารแพนโธริน ล้วนต้องดาหน้าออกตอบรับ และต้านทานพวกโมวีเนียนอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้พวกที่เหลือหลบหนีกันออกจากดวงดาวอย่างไม่คิดชีวิต การปะทะเป็นไปอย่างรุนแรง ด้วยการนำของท่านทาดีนส์ จอมทัพผู้ยิ่งยงแห่งแพนโธเรีย พร้อมเหล่าทหารหาญของเขา ผู้ซึ่งยินยอมสละชีพ เข้าต่อสู้กับพวกโมวีเนียนอย่างหาญกล้า แต่ด้วยกองกำลังที่น้อยกว่ากันหลายร้อยเท่า เหล่าวีรชนทั้งหลายนั้น จึงล้วนต้องสังเวยชีวิตและวิญญาณของพวกเขา แก่ชาวโมวีเนียนคนแล้วคนเล่า แลเห็นร่างของพวกเขาสูญสลายหายไปท่ามกลางประกายแสงแห่งฟากฟ้าจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว

ยานของผู้หลบหนีหลายลำก็ถูกทำลายย่อยยับ นับแต่ยังไปไม่พ้นจากชั้นบรรยากาศ คงเหลือเพียงยานอีกจำนวนหนึ่ง ที่ได้รับการติดตั้งกลจักรทรานส์วาร์ป เครื่องต้นแบบไม่เกิน 5 ลำ ที่สามารถเร่งความเร็วเกินวาร์ป 10 กระโจนเข้าสู่ไฮเปอร์สเปสได้ทัน นั่นเป็นสาเหตุที่พวกเขาต้องรอคอยจนถึงวันที่โมวีย์มาถึง และอาศัยช่วงเวลาที่ชุลมุลเกินกว่าพวกโมวีเนียนจะตั้งตัวได้ เพื่อใช้เป็นจังหวะในการหลบหนี เพราะก่อนหน้านั้น มียานของชาวแพนธอนส่วนหนึ่งที่ล่วงหน้าไปล้วนถูกพวกนั้นทำลายจนหมดสิ้น ไม่สามารถแหวกฝ่าวงล้อมที่หนาแน่นของพวกโมวีเนียนไปได้ พวกมันคล้ายต้องการล้างสิ้นทุกเผ่าพันธ์ในจักรวาล

แล้วกาลเวลาก็ล่วงเลยผ่านไป ภาพของดาวแพนโธเรียที่แสนงดงาม ต้องค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นดาวเคราะห์ร้างที่ไร้ชีวิต หลังจากที่โมวีย์ได้เข้าครอบงำและดูดกลืนพลังชีวิตทั้งหมดของดวงดาวไป ไม่มีอะไรเหลือสำหรับการจดจำอีก นอกเหนือจากวีรกรรมของเหล่าผู้กล้าชาวแพนธอนที่ยินยอมเสียสละต่อสู้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต เพื่อเปิดโอกาสให้พวกของตนหลบหนีออกไป จนกลายมาเป็นเพียงตำนานเล่าขานที่สืบทอดกันมาไม่จบไม่สิ้นจากรุ่นสู่รุ่น กระทั่งมาถึงวันเวลาแห่งการเผชิญหน้าอีกครั้ง จะไม่มีการหลบหนีหรือล่าถอยอีก ที่นี่คือสมรภูมิสุดท้ายที่ชาวแพนธอนกับชาวโมวีเนียนทั้งหมดจะต้องตัดสินชะตากรรมระหว่างกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เมื่อโมวีย์ได้ละทิ้งซากดาวร้างของแพนโธเรีย และมุ่งหน้าตรงไปยังเป้าหมายแห่งต่อไป

ชาวแพนธอนที่รอดชีวิตมา ได้เดินทางผ่านอวกาศชั้นสูงตรงมายังระบบสุริยะของดาวโลก เมื่อพวกเขารับรู้การมาของโมวีย์ และดาวโลกก็เป็นเป้าหมายที่อยู่ในเส้นทางของมันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง พวกเขาจึงล่วงหน้าเข้ามาและแฝงตนเข้ามาในสังคมของชาวมนุษย์ เพื่อวางรากฐานแห่งกองกำลังและเตรียมพร้อมรับการต่อสู้ โดยการประสานงานกับชาวแพนธอนที่ได้เดินทางมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ดาวโลกก่อนหน้านั้นเป็นเวลานาน จนสามารถให้กำเนิดสายพันธ์ผสมที่เปี่ยมล้นด้วยพลังอำนาจและเป็นความหวังสุดท้ายของทุกคน ด้วยสำนึกในบุญคุณแห่งดวงดาวสีฟ้าที่แสนงดงามใบนี้ ชาวแพนธอนและสายพันธ์ผสมทั้งหลายนั้น จึงล้วนมีความมุ่งมั่นเป็นหนึ่งที่จะพิทักษ์รักษาดินแดนสุดท้ายนี้ไว้ด้วยชีวิต

และด้วยพลังอำนาจที่เร้นลับจากบรรพชนในมหาวิหารแห่งแพนโธริน พวกเขาจึงได้ฝึกฝนกลุ่มอนุชนรุ่นหลังที่เป็นทายาทแห่งพลังอำนาจขึ้นมา ในนามแห่งยุวชนดาวสายฟ้า เป็นกลุ่มเด็กสายพันธ์ผสม ที่รวมจุดเด่นพันธุกรรมทั้งของชาวแพนธอนและมนุษย์โลก ทำให้เด็กเหล่านี้มีพลังอำนาจแฝงที่สูงล้ำจากชาวแพนธอน และพลังชีวิตที่กล้าแข็งในการต่อสู้ดิ้นรนของชาวมนุษย์อย่างเต็มเปี่ยม จนผสมผสานกลายเป็นมหาอำนาจและพลังที่ยากประเมิน พวกโมวีเนียนจะทำอย่างไรกับเด็กน้อยเหล่านี้ และชะตากรรมของโลกและชาวแพนธอนที่เหลือจะลงเอยในรูปใด ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวแห่งการต่อสู้ของพวกเขาทั้งหลายนั้น

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone08/blg01/main.php