Friday, August 27, 2010

มินตรา 1 : ปฐมปริศนา

เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในเรื่องผลกระทบต่อเรื่องราวหรือเหตุการณ์ใดๆ ในโลกแห่งความจริงปัจจุบัน เรื่องเล่าในตำนานแห่งมินตรานี้จึงขอใช้ฉากของโลก ที่อยู่ในจักรวาลคู่ขนาน หลังมหันตภัยพิบัติที่ทำลายล้างสภาพแวดล้อมของโลกอย่างรุนแรง ได้ผ่านพ้นไปแล้วในปี พ.ศ. 2562 ซึ่งได้ส่งผลให้ภูมิสภาพทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ชนิดที่แทบจะจดจำสภาพดั้งเดิมไม่ได้ เหตุการณ์ในท้องเรื่องเริ่มต้นขึ้นหลังจากโลกเริ่มเข้าสู่สภาพสมดุลย์อีกครั้ง นับจากมหาวิบัติภัยครั้งสุดท้ายได้จบสิ้นลงประมาณ 10 ปี และมีการรวมหลายประเทศเข้าด้วยกันเป็นสหพันธรัฐ เนื่องจากจำนวนประชากรที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งในสิบของสังคมโลกทั้งหมด ก่อนเกิดการทำลายล้างที่ผ่านมา รวมทั้งพื้นที่ของบางประเทศที่เหลือน้อยจนแทบจะคงความเป็นชาติเอาไว้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ชนชาติที่อยู่ใกล้กัน มีประเพณีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันจึงได้รวมกันเป็นประเทศอีกครั้ง โดยยังคงเขตพื้นที่ชนชาติเดิมเอาไว้ และมีการตั้งรัฐบาลกลางขึ้นมาปกครองดูแล

ในภูมิภาคที่ถูกใช้เป็นสถานที่ดำเนินเรื่องทั้งหมด จะอยู่ในเขตปกครองย่อยที่เรียกว่า อาคานียา ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ตั้งของเอเชียอาคเนย์ หรือเอเชียตะวันตกเฉียงใต้เดิม เพียงแต่บัดนี้ ผืนแผ่นดินใหญ่ได้แตกแยกออกเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยจำนวนมาก โดยมีพื้นทวีปใหญ่อยู่ลึกเข้ามาทางตอนเหนือของมหาทวีปเก่า ทำให้ชนชาติในพื้นที่แถบนี้หลายเผ่าพันธ์ได้รวมตัวกันขึ้นเป็นรัฐใหญ่แห่งหนึ่งที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลกลางที่อยู่ลึกขึ้นไปทางตอนเหนือ บริเวณชายแดนเดิมของมหาอำนาจจีนและรัสเซีย ซึ่งบัดนี้แผ่นดินได้แยกออกและยุบหายกลับกลายเป็นท้องน้ำกว้างใหญ่ไพศาลกางกั้นไว้ มลรัฐอาคานียาจึงถือเป็นเขตปกครองทางใต้ที่มีความสำคัญ ด้วยสภาพพื้นที่ติดชายฝั่งมหาสมุทรจึงกลายเป็นเมืองท่าสำคัญ ทำให้เกิดมหานครใหญ่ที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยหนาแน่น เพราะสภาพภูมิอากาศที่อบอุ่นกำลังดี ไม่หนาวเย็นเกินไปเหมือนพื้นที่ทางตอนเหนือ ซึ่งจะถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะเนิ่นนานกว่าหกเดือนในทุกปี

นครสีมาราเป็นเมืองท่าสำคัญที่ติดชายฝั่งทวีป มีท่าเรือน้ำลึกหลายแห่งตามแนวชายฝั่งที่เรียงรายเป็นแนวยาว ตัวเกาะต่างๆ ซึ่งเคยเป็นเขตเทือกเขาและที่ราบสูงเดิม ได้กลับกลายเป็นแนวป้องกันพายุและคลื่นทะเลที่รุนแรงเป็นอย่างดี ส่งผลให้น่านน้ำของสีมารามีความสงบเพียงพอและเหมาะสมจะเป็นท่าเรือน้ำลึกที่คึกคักและพลุกพล่านมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก การขนส่งทั้งหมดจะเริ่มต้นที่ท่าเรือแห่งนี้ ก่อนที่สัมภาระและสินค้าต่างๆ จะถูกลำเลียงขึ้นไปยังเขตปกครองทางตอนเหนือของมหาทวีปโบราณ จากเหตุปัจจัยทั้งหมดนี้ จึงส่งผลให้สีมารากลับกลายเป็นมหานครเมืองท่าสำคัญได้โดยไม่ยากเย็นนัก

มินตราเป็นร้านรับซื้อและจำหน่ายของโบราณ ตัวอาคารเป็นตึกแถวขนาดสามคูหา ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมของถนนแห่งหนึ่งในเขตชานเมืองของสีมารา ถัดขึ้นไปทางตอนเหนือใกล้ชายเขตของนครศรีภูมิ เจ้าของร้านปัจจุบันเป็นชายวัยกลางคนที่มีนามว่า ชินกร อดีตนักวิชาการด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมีชื่อในเขตพื้นที่นี้ ซึ่งปัจจุบันได้ถูกกลืนหายไปในท้องน้ำกว้างเรียบร้อยแล้ว ชินกร หรืออาจารย์ชิน จึงกลับมาที่บ้านเดิมของตนและได้ร่วมกับบุคคลลึกลับผู้หนึ่งที่ใช้ชื่อว่า วรทิน เขาเป็นคนเสนอแนะกิจการค้าของโบราณ พร้อมร้านมินตราแห่งนี้ให้ มันเหมือนจะเป็นร้านที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ชินกรไม่แน่ใจว่าเคยเห็นร้านนี้ในที่ตั้งปัจจุบันของมันมาก่อน ตอนที่เขามาถึงครั้งแรกนั้น มันเหมือนกับเป็นการเดินทางเข้ามาสู่กาลเวลาแห่งอดีตอันยาวไกล หลังจากก้าวย่างเข้าสู่ภายในตัวอาคารที่ตั้งร้านแห่งนี้ในครั้งแรก

จากนั้นมาชินกรก็ได้รับรู้เรื่องราวจากความทรงจำอันเร้นลับของร้าน ผ่านการถ่ายทอดและคำบอกเล่าของวรทิน อาจารย์ชินจึงตัดสินใจใช้ชีวิตบั้นปลายที่ร้านโบราณแห่งนี้ เพราะมันสอดคล้องกับภูมิความรู้ที่เขาศึกษาค้นคว้ามาตลอดชีวิต พร้อมกับแผนการอันยิ่งใหญ่ที่รอคอยพวกเขาอยู่ วรทินหายไปเนิ่นนานเกือบปี แล้วเขาก็กลับมาพร้อมกับชายหนุ่มชาวเขาจากที่ราบสูงทางตอนเหนือของอาคานียา เขามีชื่อว่า ทียอ เป็นคนอารมณ์ดี แม้จะผอมสูงแต่ก็แข็งแรงว่องไว ท่าทีกระฉับกระเฉงและขยันขันแข็ง ที่สำคัญเขามีฝีมือทางงานช่างเกือบทุกชนิด ทั้งยันเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทียอได้กลายเป็นเพื่อนร่วมงานคนสำคัญของชินกรนับแต่นั้นเป็นต้นมา ขณะที่วรทินจะไปๆ มาๆ บางครั้งก็หายหน้าหายตาไปหลายเดือน และในค่ำคืนหนึ่งเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูทางเข้าร้านพร้อมมวนบุหรี่ประหลาดในมือที่ไม่เคยถูกจุดสูบ ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำ ชินกรที่เข้านอนไปแล้วต้องลงมาตามเสียงออดที่ดังติดต่อกันหลายครั้ง วรทินบอกให้เขารีบแต่งตัวเพื่อออกไปข้างนอก เพราะเวลาที่รอคอยได้มาถึงแล้ว ชินกรก็รีบไปกระทำตาม พอออกมาอีกทีก็พบว่า ทียอได้ขับรถตู้ของร้านมาจอดรออยู่ที่ริมถนนด้านข้างตัวร้านเรียบร้อย แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทางไปเพื่อสานต่อวงจรแห่งชะตากรรมทั้งหมดให้ครบรอบสมบูรณ์อีกครั้ง

เรื่องราวของมินตรา แก็งค์กวนป่วนวิญญาณ จึงได้เริ่มต้นขึ้นจากการเดินทางครั้งสำคัญนี้ ผู้เขียนรู้สึกยินดีและสนุกกับเนื้อหา โครงเรื่อง และบทบาทลีลาของตัวละคร ที่ชวนตื่นตาตื่นใจ และมีมุกตลกสนุกสนานด้วยอารมณ์ขันที่แซมซ้อนอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ท่ามกลางการผจญภัยที่สุดแสนจะตื่นเต้นเร้าใจ เต็มไปด้วยฉากเหตุการณ์ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึน พร้อมการดำเนินเรื่องที่เข้มข้นกระชับฉับไว ซึ่งเป็นแนวที่ผู้เขียนชื่นชอบและถนัดอยู่แต่เดิมแล้ว จึงน้อมรับข้อเสนอในงานประพันธ์ชิ้นนี้ด้วยความเต็มใจ หลังจากที่ได้รับมติเป็นเอกฉันท์จากเพื่อนร่วมชมรมทั้งหมด ด้วยเหตุนี้จึงต้องขอออกตัวในที่นี้ว่า งานเขียนชุดนี้มิใช่ผลงานของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว ทว่าต้องถือเป็นผลงานร่วมของกลุ่มเพื่อนที่ได้ช่วยกันระดมสมอง สร้างพล็อตหรือโครงเรื่องให้ โดยเฉพาะน้องปฐวิภาจากเว็บไซท์ firenine และพี่วิฬาร์นิล เพื่อนร่วมทีมในชมรมหนังสือดาวแปดนี้ ต้องถือว่าทั้งสองท่านเป็นผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในการรังสรรค์ให้หนังสือนวนิยายเรื่องนี้ สำเร็จเป็นเรื่องราวครบถ้วน ให้ท่านผู้อ่านได้ร่วมเพลิดเพลินไปพร้อมๆ กับพวกเราทุกคน และจากนี้ไปก็ขอเชิญทุกท่านพบกับภาคแรกของมินตรา แก็งค์กวนป่วนวิญญาณ ในชื่อภาคว่า ปฐมปริศนา หรือ The Primary Riddle ได้ ณ.บัดนี้

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.firenine.com/zone12/blg03/main.php

Wednesday, August 25, 2010

อิทธินาคินทร์ 1 : นาคาอหังการ

เมื่อเหล่าภูติผู้มีอหังการ สามารถรวบรวมกำลังขึ้นเป็นปึกแผ่น ภายใต้การนำของจอมภูติศิรนรา ความอดทนอดกลั้นต่อการดำรงอยู่ภายใต้อำนาจความคุมแห่งเหล่าเทพจึงสูญสิ้น บรรดาพลรบภูติอันเกรียงไกรจึงได้กรีฑาทัพเข้ารุกรานทั้งแดนเทพและมนุษย์ ก่อเกิดเป็นมหาสงครามตรีสหัสวรรษที่ลือลั่นไปทั่วทั้งอันตรวียาโลกธาตุ สร้างเป็นความพินาศยับเยินอันไม่จบสิ้นมาตลอดกาลเวลาแห่งกลียุคที่มืดมน จนไม่มีผู้ใดอาจหยั่งรู้ได้ว่า เมื่อใดสงครามและความขัดแย้งนี้จะยุติสิ้นสุดลง

ในช่วงสองสหัสวรรษแรก เหล่าเทพล้วนพ่ายแพ้ปราชัยอย่างต่อเนื่อง ไม่มีกองทัพใดสามารถต้านท้าอำนาจฤทธิ์ของจอมภูติศิรนราได้ ทวยเทพทั้งหลายจึงจำต้องถอยร่น และปล่อยให้มนุษย์ต้องรับศึกเพียงลำพัง อย่างไร้สิ้นซึ่งความหวังใดๆ แต่มนุษย์ก็ไม่ยอมศิโรราบให้กับอำนาจของจอมภูติ แม้จะถูกตีถอยร่นไปตลอดเวลา จนมาถึงช่วงท้ายของพันปีที่สอง เหล่ามนุษย์ได้ล่าถอยมาตั้งมั่นอยู่ที่ชายขอบของพนาต์ศักดิสิทธิ์แห่งอมรบดี พวกเขาได้อาศัยอิทธาธิษฐานที่จอมอธิราชเทพผู้หลับไหลได้กำหนดไว้ก่อนจะเข้าสู่นิทราญาณอันลึกล้ำเมื่อกว่าเบญจสหัสวรรษที่ผ่านมา

ทว่าศิรนราผู้สูงล้นด้วยมหาอำนาจและอหังการ กลับไม่หวาดหวั่นต่ออิทธาธิษฐานอันศักดิ์สิทธิ์นั้น แต่เขากลับท้าทายจอมอธิราชผู้หลับไหลอย่างไม่กลัวเกรง ความหฤโหดและอำมหิตของจอมภูติได้สะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งโลกธาตุ และท่ามกลางเสียงวิงวอนร้องขออย่างสิ้นหวังของมวลมนุษย์ที่ไร้ทางไป จอมอธิราชผู้เป็นราชันแห่งเทพจึงไม่อาจทนวางเฉยต่อไปได้ และลำพังเพียงการถอนออกจากภวังค์แห่งนิทราญาณของเขา ก็ได้ทำลายกองทัพหน้าของศิรนราจนสูญสิ้น สร้างความระย่นย่อและโกลาหนระส่ำระสายให้เกิดขึ้นทั่วทั้งกองทัพภูติอย่างรวดเร็ว ทั้งเทพและมนุษย์จึงได้หวนกลับคืนมารวมตัวกันอีกครั้ง ภายใต้การนำของอิสรินทร์ จอมอธิราชันผู้หวนคืน

การยุทธในสหัสวรรษสุดท้ายที่ผ่านมาจึงค่อยพลิกผัน กองทัพของเทพและมนุษย์สามารถขับไล่เหล่าภูติให้ถอยร่นกลับสู่ดินแดนของตนในมหาทวีปภูตปรกาฬ จากนั้นมาแม้สงครามจะยังไม่สิ้นสุด แต่สันติสุขก็พอจะแสวงหาได้ มนุษย์เริ่มคืนกลับสู่สิตรคันธรมหาทวีปแห่งตน โดยมีพลศึกผสมระหว่างมนุษย์และเหล่าเทพตั้งขบวนทัพอยู่ที่ชายขอบของภูตทวีป เพื่อป้องกันการรุกรานของศิรนรา เหตุการณ์ทั้งหมดคล้ายจะสงบมากว่าพันปี กระทั่งสิ่งที่ไม่คาดคิดได้อุบัติบังเกิดขึ้น เมื่อมรณะภัยได้กร้ำกรายสู่มินนรีชายาสาวเพียงหนึ่งเดียวแห่งเจ้าวิรุณนาคาอย่างฉับพลันทันใด เพื่อช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ ตามคติแห่งอารยะของเหล่าปฐพีนาคาที่เปี่ยมล้นอยู่ในสายเลือดและจิตวิญญาณ จึงทำให้มินนรีถูกกลลวงเข้าสู่แดนสังหารของเหล่าภูติอย่างง่ายดาย

ความสิ้นสูญของนาคาสาวผู้เป็นที่รักยิ่ง ทำให้วรินทรผู้เป็นสวามีของมินนรีได้แต่ร่ำร้องคร่ำครวญอยู่ต่อหน้าสรีระอันว่างเปล่าของชายาสาวถึงสิบห้าราตรี ความเศร้าโศรกพิไรรำพันได้ครอบคลุมแดนบาดาลอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่วิรุณนาคาเท่านั้น แต่แผ่ขยายออกไปจนกลายเป็นความโศรกซึ้งรันทดอันยิ่งใหญ่ครอบคลุมทั่วทุกวงศ์สายแห่งนาคาทั้งหลาย ด้วยความคับแค้นที่มนุษย์เป็นต้นเหตุ เหล่าเทพปฏิเสธการร้องขอ เหล่าภูติเป็นผู้ลงมือสังหาร นาคาทั้งหลายจึงประกาศตนเป็นอิสระไม่ขึ้นตรงต่อฝ่ายใด แล้วนาคาทั้งสี่วงศ์จึงเข้ารวมกำลังกัน เพื่อเปิดศึกสงครามกับเหล่าภูติอย่างจริงจัง เกิดเป็นมหาสงครามแห่งสหัสวรรษใหม่ ที่รุนแรงและเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมหลายร้อยหลายพันเท่า

แม้จอมเทพอิสรินทร์จะพยายามเกลี้ยกล่อมวรินธรผู้นำแห่งเหล่านาคาเพียงใด ก็ดูจะไร้ผล ในสายตาของวรินธรล้วนมีแต่เพียงความแค้น เขาไม่สนใจว่าโลกธาตุจะถล่มทลายสิ้นสูญไปหรือไม่ จุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งเดียวคือสังหารศิรนราและทำลายกองทัพภูติให้สูญสิ้น ใครเลยอาจคาดคิดได้ เมื่อเหล่านาคาผู้สงบงัน ที่คอยควบคุมฤดูกาลและวัฏฏจักรแห่งโลกธาตุ จะแปรเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ เมื่อพวกเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว พลังอำนาจกลับเปี่ยมล้นเกินกว่าที่จะควบคุมยับยั้ง อีกทั้งวัฏฏจักรที่แปรปรวนไร้การควบคุม ก็ยิ่งเพิ่มความสับสนอลหม่านให้แผ่ขยายไปทั่วทั้งแดนฟ้าและผืนดิน ทำให้ความสงบสุขสูญสิ้นไปอย่างรวดเร็ว

สุดท้ายเหล่าเทพจำต้องตัดสินใจหยุดยั้งวรินธร เพื่อควบคุมเหล่านาคาให้อยู่ในอาณัติดุจเดิม สงครามระหว่างเทพและนาคาจึงอุบัติบังเกิดขึ้น ในขณะนั้นเอง ศิรนราจึงถือโอกาสเคลื่อนพลไปปลดปล่อยเหล่าสัตว์นรก ปีศาจ และอสุรกายในอบายให้ลุกฮือขึ้น ก่อเกิดเป็นมหายุทธถล่มฟ้าดินอันยิ่งใหญ่และหนักหน่วงกว่าทุกครั้ง มนุษย์ถูกบังคับให้ต้องเข้าร่วมกับเหล่าเทพ แต่พวกเขากลับไม่ยินยอมที่จะรบกับเหล่านาคาผู้มีคุณ ทำให้มนุษย์ต้องถูกกีดกันอยู่เดียวดาย พวกเขาจึงมุ่งมั่นที่จะต่อสู้จนคนสุดท้าย และขอตายในแดนเกิดแห่งตน จะไม่มีการล่าถอยหรือหลบหนีอย่างไร้เกียรติอีกต่อไป

ทว่าการตัดสินใจของเหล่ามนุษย์ในครั้งนี้ กลับทำให้เมธาจารย์ ผู้นำจิตวิญญาณแห่งนิกายสัตยา เกิดความประทับใจในกตเวทิตาคุณของมวลมนุษย์ จึงประกาศเข้าร่วมกับพวกเขา และด้วยอำนาจแห่งอภิญญาอันยิ่งของเหล่าชนนิกายแห่งสัตยธรรม จึงทำให้เหล่ามนุษย์สามารถยืนหยัดอยู่ได้ ท่ามกลางภัยแห่งสงครามที่รายรอบ โดยไม่มีใครรู้ว่า กลียุคมิคสัญญีครั้งใหม่นี้จะยุติสิ้นสุดลงเมื่อใด ฟ้าดินจะถูกถล่มทลายลงหรือไม่ ไม่มีใครยอมใครอีกต่อไป เมื่อเหล่านาคาที่แปรเปลี่ยนเป็นอสุรสัตว์ที่ดุร้ายและเรืองอำนาจ ได้กลายเป็นขุมกำลังอันยิ่งใหญ่ ที่สามารถต้านทานทั้งเหล่าเทพและกองทัพภูติโดยไม่หวาดหวั่นสั่นคลอน เพราะพวกเขาไร้สิ้นซึ่งความหวังใดๆ ไม่มีความรักหลงเหลืออยู่อีก ซากใจของวรินธรคล้ายจะป่นทำลายไปพร้อมกับชีวิตของมินนรี ชายาที่เขารักสุดหัวใจ มันทำให้พวกเขาไร้ทางเลือก นอกจากจะประกาศศักดาแห่งความเป็นอิทธินาคินทร์ของพวกตน ให้โลกธาตุทั้งหมดได้รับรู้

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone05/blg01/main.php

Tuesday, August 24, 2010

ประทีปแห่งดวงดาว

เรื่องราวทั้งหมดได้เริ่มต้นขึ้นที่อารามเล็กๆ ใกล้เมืองซีอาน โดยตั้งอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งทอดยาวมาจากเทือกเขาทางตอนเหนือ คนละฟากฝั่งของแม่น้ำเว่ย หนึ่งในลำน้ำสายหลักที่ไหลผ่านมณฑลสานซี ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน ในช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ได้ตั้งหลักปักฐานในภูมิภาคแถบนี้อย่างค่อนข้างจะมั่นคงแล้ว ทำให้มีสถานปฏิบัติธรรมแพร่ขยายโดยทั่วไป และอารามเล็กๆ แห่งนี้ ที่มีนามว่า ไป๋ฟาง (ทางไปสีขาว) ก็เป็นหนึ่งในสถานปฏิบัติสมณะธรรมในนิกายมหายานของพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน

สำหรับตัวละครหลักคนแรกก็คือ เด็กขอทานจรจัด ที่ภายหลังบวชเป็นสามเณรแล้ว จึงได้รับฉายาว่า หลิวซิง (ดาวพเนจร) เพราะความที่เป็นคนชอบเดินทางไม่ค่อยอยู่ติดที่ ร่อนเร่รอนแรมมาตั้งแต่เด็กจนอายุได้เกือบสิบห้าปี จึงมาถึงอารามไป๋ฟางแห่งนี้ และได้บวชเรียนอยู่ศึกษาพระธรรม ไม่ต้องรอนแรมไร้ที่พักพิงอีกต่อไป หลิวซิงเป็นคนร่าเริงไม่คิดมาก อาจเป็นเพราะต้องผจญชีวิตตามลำพังมาแต่เล็ก จึงทำให้มุมมองชีวิตของเขา เป็นคนที่ยอมรับความเป็นจริงทุกสิ่งที่จะบังเกิดขึ้นโดยไม่ดิ้นรนโต้แย้ง ปกติจึงชอบหลีกเร้นปลีกวิเวก เพราะความที่เป็นเด็กขอทานจรจัด ที่สังคมไม่ให้การต้อนรับ จึงทำให้เขาชอบใช้เวลาอยู่ตามลำพังในโลกส่วนตัว ไม่สุงสิงกับผู้คน และยอมรับชะตากรรมของตนด้วยความสงบ

ตัวละครหลักคนที่สองคือ สามเณรน้อยที่มีนามว่าติงเซิน (ผู้ตามประทีป) เขาเป็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับหลิวซิง แต่กลับมีอุปนิสัยที่ตรงกันข้าม ขณะที่หลิวซิงได้แต่สนุกสนานร่าเริงไปวันๆ แต่ติงเซินกลับเป็นคนจริงจัง ชอบที่จะเรียนรู้ศึกษาและมีปฏิปทาที่มุ่งมั่น เมื่อตัดสินใจสิ่งใดแล้วก็ยากจะเปลี่ยนแปลง แต่ทั้งสองก็มีส่วนที่เหมือนกันอยู่คือ พื้นฐานจิตใจที่อ่อนโยนและชอบช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากและลำบากกว่าตน ติงเซินแม้จะบวชเรียนเป็นสามเณร อยู่ศึกษาพระธรรมคำสอน แต่ก็มีชาติตระกูลมาจากคหบดีที่มีฐานะภายในเมือง เขาเข้ามาบวชด้วยใจศรัทธาและมุ่งมั่นจะศึกษาทำความเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ติงเซินได้รับหน้าที่ให้เป็นคนคอยดูแลประทีป โคมไฟ และตะเกียงทั้งหมดที่ใช้จุดบูชาอยู่ภายในวิหาร ซึ่งประดิษฐานพระพุทธะโพธิสัตว์ทั้งหลาย ด้วยความที่เป็นคนมีความรับผิดชอบสูง จนกลายมาเป็นฉายาของเขา

ขณะที่หลิวซิงจะคอยช่วยเหลือในภาระการงานต่างๆ ของติงเซิน โดยเฉพาะการติดตามติงเซินไปช่วยเข็นรถรับของที่ชาวบ้านบริจาคให้ จากในหมู่บ้านใกล้เนินเขาที่ตั้งของตัวอาราม ซึ่งมีระยะทางค่อนข้างไกล จึงทำให้ทั้งสองใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก กระทั่งดวงชะตาได้นำพาทั้งสองให้เข้ามาสู่วังวนที่สุดแสนจะพิศดารมหัศจรรย์ หากมองจากสายตาของปุถุชน คือความสามารถในการสื่อสารกับบรรดามวลมหาปัญญาอันยิ่งใหญ่ ซึ่งได้เมตตามอบคำสอนสั่ง และตอบปัญหา พร้อมคำชี้แนะที่ทรงคุณค่า เพื่อพัฒนาจิตเดิมแท้ของเณรน้อยทั้งสองให้ก้าวล่วงสู่วิถีแห่งความหลุดพ้นอันเที่ยงแท้ จนได้กลายมาเป็นเนื้อหาสาระในหนังสือนวนิยายเล่มนี้

ตัวละครหลักอีกคนที่ไม่อาจละเลย ก็คือท่านไต้ซือฟาถู (ผู้สวมมงกุฏแห่งปัญญา) ท่านเป็นเจ้าอาวาสอารามไป๋ฟางแห่งนี้ ทั้งยังเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนโดยทั่วไป ไต้ซือฟาถูเป็นคนเข้มงวดจริงจังหากเป็นการปฏิบัติธรรม ท่านจะไม่ยอมอ่อนข้อให้หาข้ออ้างหลีกเลี่ยงได้เป็นอันขาด แต่ถ้าเป็นเรื่องทั่วไป ท่านก็จะเป็นเหมือนพระเถระอารมณ์ดี คุยสนุก และที่สำคัญเป็นผู้ทรงภูมิธรรมและปัญญาญาณ ที่หาผู้เสมอเหมือนได้ยาก มีความจัดเจนในหัวข้อธรรมคำสอนของพุทธองค์ อย่างถ่องแท้และแจ้งชัด สามารถโต้ตอบปัญหาธรรมได้ทุกเรื่อง และให้คำอรรถาธิบายได้ทั้งแบบเรียบง่ายและพิสดาร

โดยเฉพาะในเรื่องพื้นฐานจิตใจ ท่านเป็นคนใจดีมีเมตตา ชอบที่จะช่วยเหลือเผื่อแผ่ผู้ตกทุกข์ได้ยากทุกเมื่อ และหลังจากสังเกตุเห็นว่าเด็กน้อยขอทานมักจะแวะเวียนมาที่อาราม และได้อาหารแบ่งปันจากติงเซินเป็นประจำ ทั้งขอทานน้อยก็รู้คุณ มักจะอาสาติดตามช่วยงานติงเซินอยู่บ่อยครั้ง ท่านจึงชวนให้ขอทานน้อยอยู่ร่วมที่อาราม โดยให้บวชเป็นสามเณรน้อย และตั้งฉายาให้ว่าหลิวซิง สองสหายหลิวซิงและติงเซิน จึงได้อยู่อาศัยร่วมชายคาในอารามไป๋ฟางนับแต่นั้นเป็นต้นมา ขณะที่ติงเซินจะพักอาศัยอยู่ที่อาคารเดียวกับท่านเจ้าอาวาส เพื่อคอยอุปฐากดูแลตามปกติ แต่หลิวซิงนั้นรู้สำนึกเจียมตนและขอไปพักอาศัยอยู่ในอาคารเก็บของ โดยอาสาเฝ้าของไปในตัว เพราะไม่ต้องการให้เป็นปัญหาต่อพระเณรคนอื่นๆ ที่อาจรู้สึกรังเกียจปูมหลังความเป็นมาที่ต่ำต้อยของตน

และทั้งหมดนี้ก็เป็นพื้นฐานเรื่องราวของนวนิยายเรื่องนี้ สำหรับตัวละครประกอบอื่นๆ ใช่ว่าจะไม่มีความสำคัญ เพียงแต่มิได้ปรากฏเป็นเนื้อหาหลักในทุกบท จึงจะขอยกยอดไปแนะนำตัวในแต่ละเหตุการณ์ที่พวกเขาเหล่านั้นมีบทบาทร่วมอยู่แทน เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านก็คงพอเข้าใจได้บ้างแล้วว่า ที่มาของชื่อเรื่อง ประทีปแห่งดวงดาว นั้นมีความเป็นมาจากการผนวกรวมเอาบทบาทของตัวละครหลักคือเณรน้อยทั้งสองคนเข้าด้วยกัน หนึ่งประทีป หนึ่งดวงดาว เพราะทั้งสองเป็นผู้ที่ทำให้เรื่องราวต่างๆ ดำเนินไป ตั้งแต่ต้นจนจบ และเป็นผู้ที่นำพาเอาแสงสว่างแห่งปัญญาญาณมาเผยแผ่แก่ตนเองและผู้อื่น ดังคำกล่าวที่ว่า ดวงดาวให้แสง ประทีปให้ทาง เมื่อทั้งประทีปและดวงดาวมาอยู่รวมกัน จึงย่อมให้ทั้งแสงสว่างและเส้นทางอันเหมาะสม เพื่อก้าวเดินสู่วิมุติสุขอันสันติเป็นนิรันดร์

ติดตามอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone01/blg03/main.php

อรรถอิสระ

หนังสือเล่มนี้ถูกจัดทำขึ้นด้วยความตั้งใจ ที่จะพยายามทำการรวบรวมเรียบเรียงคำสอนที่ท่านอาจารย์อิสระวาที ได้พากเพียรเมตตาน้อมนำคำสอนของพระพุทธองค์มาใช้เป็นแนวทาง ในการสั่งสอนศิษยานุศิทย์ทั้งหลายตลอดเวลาที่ผ่านมา ซึ่งผู้เรียบเรียงและคณะศิษย์หลายท่าน ล้วนเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรที่จะรวบรวมคำสอนที่ทรงคุณค่าทั้งหลายนี้ให้เป็นรูปเล่ม เพื่อที่จะสามารถจัดพิมพ์แจกจ่ายแก่สาธุชนผู้สนใจทั้งหลาย ทั้งที่อยู่ร่วมในคณะศิษย์ปัจจุบัน หรือที่อาจเข้ามาร่วมในอนาคต และเมื่อได้รับฉันทานุมัติจากท่านอาจารย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โครงการจัดทำหนังสือเล่มนี้จึงได้เริ่มต้นขึ้น

แนวทางการเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้ใช้หนังสืออิสระเล่มเดิมเป็นเค้าโครงในการจัดทำ แต่เนื่องจากเป็นหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เนื้อหาสาระจึงค่อนข้างจะไม่ทันสมัย เนื่องจากตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ท่านอาจารย์ได้ให้คำแนะนำสั่งสอนเพิ่มขึ้นอีกมากหลาย อีกทั้งเนื้อหาเดิมยังค่อนข้างจะสับสนปนเป ไม่สามารถแยกเป็นระดับของภูมิธรรมที่ชัดเจนได้ จึงเห็นสมควรว่า ถึงเวลาที่จะทำการปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัย และมีการจำแนกระดับของภูมิธรรมที่ชัดเจนกว่าเดิม พร้อมทั้งยังได้ทำการปรับปรุงเนื้อหาใจความ ให้มีความกระชับและมีสำนวนภาษาที่ง่ายต่อการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ โดยการลดทอนถ้อยคำที่เต็มไปด้วยคำศัพท์ทางวิชาการลง โดยเฉพาะที่เป็นภาษาบาลี

สำหรับเนื้อหาใจความในหนังสือเล่มใหม่นี้ จะมีการจัดแบ่งเนื้อหาหลักธรรมให้เป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่ธรรมเบื้องต้นสำหรับผู้ที่เป็นฆารวาส ซึ่งยังต้องพัวพันอยู่กับการใช้ชีวิตแบบโลกๆ ก่อนจะปรับขึ้นสู่ระดับธรรมขั้นกลาง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มสนใจเข้ามาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง และท้ายสุดก็ต่อเนื่องไปจนถึงหลักธรรมชั้นสูง สำหรับผู้ที่ต้องการแสวงหาหนทางแห่งการหลุดพ้นโดยตรง ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้กรุณาให้แนวทางในการแบ่งระดับสาระธรรมในหนังสือออกเป็นสามระดับไว้แล้ว ผู้เรียบเรียงจึงขออนุญาติเดินตามแนวทางดังกล่าว โดยทำการจัดแบ่งเนื้อหาของหนังสือทั้งหมดออกเป็นสามภาคด้วยกัน กล่าวคือ

  • ภาคที่หนึ่ง “ปกป้อง” เนื้อหาจะเกี่ยวกับความรู้ทั้งหลายที่ทุกผู้คนสมควรจะรับรู้ไว้ เพื่อที่จะสามารถดำรงคงอยู่ในโลกนี้อย่างเหมาะสม และมีความสุขตามอัตตภาพที่พึงมีพึงได้ เป็นการปกป้องตนเองไม่ให้ตกต่ำไปสู่ความเสื่อมทั้งหลาย
  • ภาคที่สอง “รักษา” เนื้อหาจะเกี่ยวกับความรู้ทั้งหลายที่ว่าด้วยเรื่องของการเฝ้ารักษาจิตวิญญาณของตนให้ดำรงคงอยู่ในคุณธรรมตามสมควรแก่ภูมิรู้แห่งตน แม้จะยังไม่สามารถก้าวล่วงสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายอย่างสิ้นเชิง
  • ภาคที่สาม “อยู่เหนือ” เนื้อหาจะเกี่ยวกับความรู้ทั้งหลายที่มุ่งเน้นไปสู่ความวิมุติหลุดพ้น พาตนออกจากห้วงแห่งโลกีย์วิสัย ข้ามพ้นสู่ฟากฝั่งอันเกษม ตื่นขึ้นจากความฝันทั้งหลาย และเข้าสู่ความเป็นพุทธะภาวะ คือผู้ตื่น ผู้เบิกบานอันเป็นนิรันดร์
จากเนื้อหาทั้งสามภาคดังที่กล่าวมา ผู้เรียบเรียงจึงได้ทำการจัดแบ่งเนื้อหาหลักธรรมที่ท่านอาจารย์ได้ถ่ายทอดสั่งสอนไว้ทั้งหมด ออกเป็นบทย่อยๆ กระจายไปอยู่ในแต่ละภาคอย่างเท่าเทียมกัน โดยไล่เรียงกันไปตามระดับของเนื้อธรรมนับแต่ภาคที่หนึ่งถึงภาคที่สาม เป็นเบื้องต้นบทที่ 1-10 เบื้องกลางบทที่ 11-20 และเบื้องปลายบทที่ 21-30 ตามลำดับ ทั้งยังได้ขออัญเชิญคำนำที่ท่านอาจารย์อิสระวาทีได้กรุณาเขียนไว้ให้ในหนังสืออรรถอิสระฉบับดั้งเดิมมารวบรวมไว้ด้วย เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจต่อผู้อ่านทุกท่าน ความว่า

ชาวพุทธที่ไม่ได้ผ่านการบวชเรียน หรือบวชเรียนเพียงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 9 วัน 10 วัน หรือ 1 เดือน รับรองได้ว่าภาษาบาลี เป็นปัญหาแน่นอน เวลาเมื่อพระท่านสั่งสอน โดยกล่าวคำบาลี หรือกล่าวอ้างภาษาบาลี เราย่อมมีหน้าที่พนมมือรับฟังอย่างเดียว และไม่เข้าใจด้วย

หนังสือ “อรรถอิสระ” เล่มนี้ พูดถึงพุทธศาสนา คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเป็นภาษาชาวบ้าน ผู้มีความรู้น้อย เช่น พวกเราก็เข้าใจได้ คำง่ายๆ สั้นๆ นั้นดีต่อการจดจำ และเข้าใจ เป็นการพาเราเข้าไปสู่การลองปฏิบัติตาม ปฏิบัติได้ก็เป็นบุญ ปฏิบัติไม่ได้ก็แล้วไป อย่าคิดมาก อย่าติดยึด และอย่าท้อใจ ลองปฏิบัติอย่างสบายๆ โดยไม่หวังผล แต่ให้ถือว่า เป็นการพักผ่อนร่างกาย แล้วท่านผู้อ่านอาจจะรู้ว่า มีอะไรดีๆ ในพระพุทธศาสนา โดยไม่คาดฝัน

ท่านผู้รู้ ผู้มีอาจารย์มาก ผู้รู้ตำรามาก กรุณาอ่านให้จบก่อน ใช้ปัญญาพิจารณาตาม แล้วค่อยโยนหนังสือเล่มนี้ทิ้ง

อิสระวาที, 10 กรกฎาคม 2543
ท้ายสุดนี้ก็ต้องขอออกตัวไว้ว่า สำหรับเนื้อหาสาระทั้งหลายที่ผู้เรียบเรียงได้นำมารวบรวมไว้นี้ หากยังมีสิ่งบกพร่องอันใดที่ผู้รู้พึงตำหนิ ผู้เรียบเรียงก็ขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว ส่วนคุณความดีหรือสาระประโยชน์อันใดที่พอมีอยู่ ก็ขอน้อมบูชาแด่คุณแห่งท่านอาจารย์อิสระวาที และคณาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของพวกเราชาวคณะศิษย์ในสำนักทุกคน

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone01/blg04/main.php

First contact message

Blog นี้ถูกสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการใช้เป็นพื้นที่อีกหนึ่งช่องทาง ในการประชาสัมพันธ์สื่อสารเกี่ยวกับ บทความ ข่าวสาร กิจกรรม และการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเว็บไซท์ http://www.daow8.com/ และ http://www.firenine.com/ ซึ่งผู้เขียนได้ทำหน้าที่เป็น webmaster บริหารจัดการอยู่ ในขณะเดียวกันก็ประสงค์จะใช้เป็นช่องทางให้เพื่อนสมาชิกทุกท่าน สามารถ post ข้อความพูดคุย ติชม หรือแสดงความคิดเห็นต่างๆ เข้ามายังตัวผู้เขียน เกี่ยวกับการให้บริการและการนำเสนอเนื้อหาสาระ พร้อมบริการต่างๆ ที่มีอยู่ในเว็บไซท์ดังกล่าวทั้งสอง เพื่อที่ผู้เขียนจะสามารถใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไขเว็บไซท์ ให้มีเนื้อหาสาระและรูปแบบตรงตามความต้องการของเพื่อนสมาชิกให้มากที่สุด

อนึ่ง เพื่อเป็นการรักษามารยาทและธรรมเนียมอันดีของการใช้งานเครือข่ายข้อมูลสาธารณะ อย่างอินเตอร์เน็ตนี้ ผู้เขียนจึงจำต้องขอความกรุณาให้เพื่อนสมาชิกทุกท่าน โปรดงดเว้นการใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ หรือนำเสนอบทความที่ทำให้เกิดความแตกแยก หรือผิดศิลธรรมอันดีของสังคม ตลอดถึงไม่ล่วงละเมิดกฏหมายของประเทศ ทั้งนี้ ผู้เขียนต้องขออภัยเป็นการล่วงหน้า หากจำเป็นต้องลบบางข้อความที่ไม่เหมาะสมออกไป เพื่อให้การใช้งาน blog ดังกล่าวนี้ เป็นไปตามเงื่อนไขที่ทางเจ้าของผู้ให้บริการ blogger ได้กำหนดไว้

สำหรับการเปิดตัวเป็นครั้งแรกนี้ ผู้เขียนจึงขอใช้พื้นที่อีกสักเล็กน้อยในการแนะนำเกี่ยวกับเว็บไซท์ทั้งสองเป็นการเบื้องต้น โดยขอเริ่มจากเว็บ daow8 (ดาวแปด) ซึ่งถูกนำเสนอในรูปแบบของเว็บชมรมหนังสือ (book club) ที่ใช้เผยแพร่บทความแบบให้อ่านฟรี ประกอบด้วยเนื้อหาสาระที่หลากหลาย ทั้ง ปรัชญา ธรรมะ โหราศาสตร์ ตลอดถึงนวนิยายแนว ไซไฟ แฟนตาซี สืบสวนเร้นลับ จิตวิญญาณ และยุทธจักรกำลังภายใน ขณะที่เว็บ firenine จะถูกนำเสนอในรูปแบบของสังคมเมืองแบบเสมือน (virtual society) ที่ใช้ชื่อว่า Fire9 city เนื้อหาสาระส่วนใหญ่จึงค่อนข้างหลากหลายมากกว่า ทั้งยังมีแผนที่จะพัฒนาขึ้นเป็นเว็บไซท์เชิงพาณิชย์ในอนาคต ผู้เขียนจึงถือโอกาสเรียนเชิญท่านที่สนใจ เข้าร่วมเยี่ยมชมเว็บไซท์ทั้งสองมา ณ.โอกาสนี้ด้วย