Friday, January 21, 2011

โพธิมณฑล

โพธิมณฑล เป็นเรื่องราวการเสวนาธรรมแนว hardcore แบบเข้มข้นจริงจัง ไม่มีการยินยอมอ่อนข้อให้ จนกว่าจะสามารถสรุปข้อเท็จจริงออกมาได้อย่างโจ่งแจ้งกระจ่างชัดเป็นรูปธรรม โดยการดำเนินเรื่องแนวนวนิยาย ผ่านลีลาการปะทะคารมของเกลอเฒ่าทั้งสาม ลุงอนันต์ ลุงวิฑูร และลุงสิทธิ์ ผู้มีหน้าที่คิดค้นหาประเด็นคำถามมาโต้เถียงกับสหายเก่าแก่ทั้งสอง ซึ่งได้ร่วมกันก่อตั้งสถาบันโพธิยามาด้วยกัน ด้วยความที่เป็นคนไม่ยอมรับอะไรโดยง่ายๆ ทั้งไม่ยอมก้มหัวให้แก่ผู้ใดของลุงสิทธิ์จึงทำให้เนื้อหาสาระของนวนิยายอิงธรรมปรัชญาชุดนี้ เต็มไปด้วยอรรถรสที่เข้มข้น บรรจุด้วยเนื้อหาสาระและแก่นธรรมอย่างตรงไปตรงมา ปราศจากความอ้อมค้อม ทั้งยังแฝงอารมณ์ขันของผู้เฒ่าทั้งสาม ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่า น่าจะให้ความรู้ความบันเทิงต่อท่านผู้อ่านได้ไม่น้อยทีเดียว

เรื่องราวทั้งหมดได้อาศัยสภาพแวดล้อมเสมือนของรีสอร์ทใหญ่ หนึ่งในธุรกิจในเครือของสถาบันโพธิยา ที่ตั้งอยู่กลางป่าเขา รายล้อมด้วยทัศนียภาพที่งดงาม มีความกลมกลืนสอดคล้องไปกับสภาวะของธรรมชาติอันบริสุทธิ์อย่างลงตัว นอกจากจะมีธุรกิจรีสอร์ทใหญ่ที่เปิดให้คนเข้ามาเช่าพัก เพื่อผ่อนคลายจิตอารมณ์ ปลีกตัวหลีกเร้นจากความแออัดวุ่นวายภายในตัวเมืองใหญ่ทั้งหลาย สถาบันโพธิยายังครอบคลุมธุรกิจอื่นๆ อีกหลายด้าน อาทิเช่น เป็นสถานที่พักระยะยาวสำหรับผู้ที่เกษียณอายุจากภาระหน้าที่การงานทั้งหลาย หรือที่รู้จักกันในนามของ Long stay ทำให้สถาบันโพธิยาจำต้องมีสถานพยาบาลเป็นของตนเอง เพื่อให้ความดูแลเอาใจใส่ต่อสุขภาพของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายที่มาใช้บริการอย่างใกล้ชิด และเป็นกันเอง นอกจากนั้นยังมีสปา หรือการให้บริการด้านธรรมชาติบำบัด มีสโมสรส่วนบุคคล ที่ครบถ้วนทั้งสระว่ายน้ำ ห้องล้อบบี้ ห้องสมุด ห้องออกกำลังกายหรือโรงยิม รวมไปถึงหอประชุม สถานบันเทิง และห้างสรรพสินค้า

ด้วยความที่เป็นสถาบันใหญ่ จึงทำให้โพธิยามีเครือข่ายธุรกิจในกลุ่ม แยกย่อยออกไปอีกหลายแขนง รวมถึงบริการสาธารณะที่เน้นให้ความรู้ความเข้าใจแนวธรรมญาณ ที่เน้นการปลูกฝังแนวความคิดแบบสัจจะเสรีนิยม ทำให้ภายในที่ตั้งของสถาบันโพธิยา มีสถานที่สำคัญอีกแห่งที่รู้จักกันในนามของ สัจจาลัย หรือสถานที่พำนักอยู่ของสัจจะ ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารที่ได้รับการออกแบบทั้งในเชิงศิลป์และสถาปัตยกรรมที่สวยงามตระการตา แลดูแตกต่างไปจากที่อื่นๆ ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ร่มรื่นสงบเย็น มีทะเลสาบและทางน้ำใหญ่น้อยที่เรียงรายอยู่ภายในพื้นที่กว้างท่ามกลางธรรมชาติของป่าเขาที่สุดแสนจะบริสุทธิ์ จนอาจกล่าวได้ว่าสัจจาลัยแห่งนี้ เป็นเหมือนศูนย์กลางของสถาบัน ที่เปิดให้คนทั่วไปสามารถเข้าไปเยี่ยมชมศิลปะความงามของตัวอาคาร และปฏิมากรรมชิ้นเยี่ยมจำนวนมากที่ประดิษฐานไว้ภายในสถานบำเพ็ญธรรมแห่งนี้

แนวทางเผยแผ่ธรรมของสัจจาลัย จะเน้นไปที่การถ่ายทอดสัจจะธรรมความจริง ที่เรียกกันภายในสถาบันว่า ธรรมญาณ โดยธรรมคือความจริง และญาณคือความรู้ รวมความแล้วคำว่าธรรมญาณก็มิได้มีอะไรพิเศษแตกต่างไปจากสัจจะธรรมอื่นๆ แต่เป็นการเน้นจี้ตรงไปที่ความพยายามในการทำความเข้าใจต่อทุกความจริงที่ประจักษ์แจ้งต่อหน้า หลายคนจึงมองดูว่า สัจจาลัยเน้นเผยแผ่ธรรมคล้ายแนวของสำนักฉับพลัน แบบพุทธศาสนานิกายเซ็น โดยไม่ให้ความสำคัญหรือทุ่มความสนใจลงไปในเรื่องของกฏเกณฑ์หรือข้อบังคับจิปาถะทั้งหลาย ไม่แม้แต่จะหาข้ออ้างอิงจากคัมภีร์ใดๆ แต่เป็นการมุ่งเน้นไปยังความจริงที่ปรากฏต่อหน้าของผู้เรียนแต่ละท่าน ในตัวอาคารสัจจาลัยเองจึงไม่ใช่สถานที่บำเพ็ญพิธีกรรมใดๆ ภายในเน้นเพียงความสงบสันติร่มรื่น เพื่อช่วยให้วิญญาณของผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมได้รับการผ่อนคลายและสงบลงจากความว้าวุ่นที่ภายนอก

เพราะหลักธรรมปรัชญาของสัจจาลัยนั้น จะเน้นไปที่ความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่ความคิดคำนึง และความรู้เหล่านี้จะปรากฏขึ้นได้ก้อต่อเมื่อวิญญาณได้สงบระงับจากความคิดปรุงแต่งทั้งหลาย ภายในสัจจาลัยจึงมีเพียงศิลปะที่สวยงาม เสียงดนตรีบรรเลงในท่วงทำนองเยือกเย็น แว่ววังเวงแผ่วเบา เคลียคลอไปกับสรรพสำเนียงแห่งธรรมชาติที่อยู่รอบอาณาบริเวณ สัจจาลัยจึงมิใช่สำนักปฏิบัติธรรม หากแต่เป็นเพียงสถานที่สำหรับการพักผ่อนของวิญญาณ เน้นบรรยากาศที่เอื้อต่อการตื่นขึ้นแห่งปัญญาญาณทั้งหลาย เป็นปัญญาความรู้ที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถก้าวพ้นไปจากมายาภาพที่หลอนหลอกอยู่ในชีวิต และได้ตระหนักรู้ในธรรมชาติแห่งจิตเดิมของตนอย่างชัดเจน

สำหรับนามที่ใช้เรียกชื่อสถาบันโพธิยาแห่งนี้ จึงเป็นที่แน่นอนว่า จะขาดต้นโพธิไปไม่ได้ ในอาณาบริเวณใกล้ที่ตั้งของอาคารสัจจาลัยนี้ จึงมีต้นโพธิใหญ่ที่งามสง่าแผ่ร่มเงาปกคลุมอยู่เป็นพื้นที่กว้าง สร้างความร่มเย็นแก่ผู้ที่มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชม พร้อมทั้งเป็นที่อาศัยของสรรพสัตว์ใหญ่น้อยนานาชนิด โดยเฉพาะพวกนกและกระรอก รอบพื้นที่ของสถาบัน ก็ได้รับการจัดแต่งอย่างดี ด้วยหลักวิชาของภูมิพยากรณ์ชั้นสูง ประดับประดาด้วยไม้ดอกไม้ประดับ และพืชพรรณนานาชนิด มีธารน้ำตก ทางน้ำและแอ่งเก็บน้ำขนาดใหญ่คล้ายทะเลสาบ ทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นต่อทุกความอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ของสถาบัน โดยภาพรวมทั้งหมดที่บรรยายมานี้ จึงทำให้เรื่องราวที่ผู้เขียนได้นำมาร้อยเรียงเข้าด้วยกันเป็นเรื่องราวของนวนิยายชุดนี้ มีความเหมาะสมที่จะใช้ชื่อว่า โพธิมณฑล

นับจากที่ตั้งของสถาบันซึ่งเป็นทั้งจุดกำเนิดของเรื่องราว และการดำเนินเรื่องทั้งหมด บวกรวมกับแนวเนื้อเรื่องที่อิงหลักธรรมปรัชญาแห่งการรู้แจ้ง ซึ่งมีศรีมหาโพธิแห่งพระพุทธะ เป็นสัญญลักษณ์ ผู้เขียนจึงมองไม่เห็นว่าจะมีชื่อใดเหมาะสมไปกว่านี้ และแม้ว่าสถาบันโพธิยาและสัจจาลัย จะเป็นเพียงสถานที่ในจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น แต่ผู้เขียนก็เชื่อว่า มันจะเป็นเสมือนพื้นที่จริงสำหรับทุกดวงวิญญาณที่จะได้อาศัยเข้ามาพักผ่อน หลีกเร้นจากความวุ่นวายในชีวิตที่ทุกคนต้องประสบอยู่ แม้จะเป็นเพียงชั่วขณะที่ท่านผู้อ่านได้ดื่มด่ำกับอรรถรสในเนื้อหาของหนังสือนวนิยายอิงหลักธรรมเล่มนี้ ก็ยังดี และหวังว่า ธรรมญาณทั้งหลายที่จะปรากฏขึ้นในหนังสือเล่มนี้ จะสามารถเป็นประโยชน์ต่อจิตวิญญาณของทุกๆ ท่าน เพื่อชี้แนวหนทางแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์แห่งโลกียะนี้ไปได้โดยเร็วพลัน

ติดตามอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone01/blg07/main.php

Monday, January 10, 2011

Zerloss chain 1 : สงครามอัฐราศี

หลังจากที่มนุษย์กลุ่มหนึ่งจากดาวเคราะห์โลก ได้ดั้นด้นเดินทางมาบุกเบิกอาณานิคมแห่งใหม่ที่ระบบสุริยะโทรัลแห่งนี้ พวกเขาลงหลักปักฐานที่ดาวเมย์ทรานเป็นแห่งแรก เพราะเป็นดาวที่มีระบบนิเวศน์และสภาพแวดล้อมใกล้เคียงโลกมนุษย์ที่ทุกคนจากมามากที่สุด หลังจากหนึ่งร้อยปีผ่านไป ด้วยเทคโนโลยีระดับดาวเคราะห์ มนุษย์กลุ่มนั้นก็สามารถปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทั้งหมดของดาวเมย์ทรานให้เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยของพวกตนอย่างสมบูรณ์

ชาวเมย์ทรานได้แผ่ขยายเผ่าพันธ์ของตนออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงช่วงห้าร้อยปีแรก พวกเขาก็สามารถปรับเปลี่ยนดาวเคราะห์ในระบบสุริยะแห่งนั้นอีกหลายดวง จนมีสภาพที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัย รวมทั้งบรรดาดวงจันทร์อีกนับร้อย ที่เป็นบริวารของดาวแก๊สยักษ์จำนวนสี่ดวงในระบบโทรัลนั้นด้วย หลังเวลาหนึ่งพันปี กลุ่มผู้บุกเบิกก็สามารถยึดครองระบบสุริยะทั้งหมดไว้ในครอบครอง มีการทำสงครามแย่งชิงทรัพยากรและดวงดาวกันอยู่หลายครั้ง ระหว่างกลุ่มดาวที่ถูกกดขี่และยากจนกับชนชั้นปกครองที่มั่งคั่ง เมื่อแรงกดดันถึงจุดหนึ่ง พวกนั้นก็รวมตัวกันขึ้นเป็นกองกำลังจากกลุ่มย่อยเป็นกลุ่มใหญ่ และเข้าทำสงครามกับกองทัพของรัฐบาลแห่งดาวศูนย์กลางเมย์ทราน สงครามที่รุนแรงและหฤโหดครั้งสุดท้าย เพิ่งสิ้นสุดไปได้ไม่ถึงห้าสิบปีที่ผ่านมา โดยรู้จักกันในนามยุทธการดาวแซนโทร ซึ่งเป็นดาวแก๊สขนาดยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดของระบบสุริยะโทรัล

สงครามยุติลงด้วยความบอบช้ำทั้งสองฝ่าย ไม่มีผู้แพ้และผู้ชนะ สุดท้ายจึงต้องจบลงด้วยการลงปฏิญญาร่วมกันโดยตั้งเป็นสภาปกครองกลางที่มีสมาชิกจากทุกฝ่ายเข้ามาร่วมบริหาร และมีการออกบทบัญญัติกฏหมายและระเบียบวิธี ในการบริหารจัดการทรัพยากรร่วมกัน ด้วยความเป็นธรรมและทั่วถึง หลังจากนั้นมาชาวโทรัลก็เข้าสู่ยุคแห่งสันติภาพมาโดยตลอด กระทั่งมีการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีการขนส่งที่ล้ำสมัยถูกคิดค้นขึ้น มันทำให้ระบบขนส่งมวลสารแบบเดิมกลายเป็นวิทยาการที่ล้าหลังและตกยุคไปทันที ด้วยระดับของความรวดเร็วในการส่งผ่านมวลสารปริมาณมากในระยะทางอันไกลโพ้น ซึ่งได้ช่วยจุดประกายความหวังของชาวโทรัลทุกคนที่คิดถึงบ้านที่ตนจากมา มันทำให้พวกเขาเริ่มมองเห็นหนทางที่จะไปมาหาสู่กับญาติมิตรของตนที่ดาวโลกได้สะดวกขึ้น รัฐบาลกลางจึงให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อกลุ่มเครือข่ายแมสเทล ที่เป็นบรรษัทใหญ่ผู้ให้บริการขนส่งมวลชนระบบใหม่นี้ โดยตั้งเป้าไว้ว่า หากประสบความสำเร็จ ก็จะทำให้การเดินทางกลับไปยังดาวโลกมีความรวดเร็วมากขึ้น ไม่ต้องเสียเวลากระโจนข้ามอวกาศชั้นสูงเป็นระยะๆ เหมือนที่ผ่านมา และยังสามารถลดเวลาลงจากแรมเดือนเป็นเพียงไม่กี่นาที

ทว่าในท่ามกลางความยินดีของผู้คนกับข่าวดีดังกล่าว พลันปรากฏนักฟิสิกส์มิติอวกาศท่านหนึ่งนาม ศาสตราจารย์ฌอน เซอร์ลอส ได้ออกมาคัดค้านด้วยทฤษฎีเซอร์ลอสเชนของเขา ซึ่งมีผลการคำนวณยืนยันว่า มิติอวกาศชั้นสูงที่ยอมให้มนุษย์ใช้ได้นั้นมีจำนวนจำกัด และหากข้ามพ้นเขตอวกาศวิกฤตตามทฤษฎีไปแล้ว ก็เสี่ยงที่จะเข้าไปแทรกแซงกับมิติภาวะของชีวพลังงานระดับสูงอื่นๆ ซึ่งรู้จักกันมานานในตำนานแห่งปีศาจและทวยเทพ ศ.ฌอน จึงเตือนให้รัฐบาลทำการทบทวนการอนุมัติให้กลุ่มแมสเทลดำเนินการต่อ เพราะจากการประเมินของนักฟิสิกส์หลายกลุ่มเชื่อว่า มิติภาวะที่กลุ่มแมสเทลจะใช้ในการเดินทางข้ามไปนั้น ได้เลยแถบมิติวิกฤตตามทฤษฎีไปแล้ว จึงทำให้เกิดการแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย โดยฝ่ายที่เข้าข้างกลุ่มแมสเทล ก็เชื่อว่าเรื่องของปีศาจและทวยเทพนั้นล้วนเป็นเพียงตำนานไร้สาระ ไม่มีจริง การข้ามไปสู่มิติภาวะชั้นสูงนั้นแม้จะมีความเสี่ยงในเรื่องของเสถียรภาพของพลังงานอยู่บ้าง แต่ยังอยู่ในวิสัยที่ควบคุมได้ โดยกลุ่มนี้ได้เสนอให้มีการทดลองใช้เป็นเวลาหนึ่งปี ในการขนส่งสิ่งของที่ไม่ใช่ผู้คน เพื่อทำการปรับเปลี่ยนค่าตัวแปรของคลื่นพลังงานให้เหมาะสม สุดท้ายรัฐบาลกลางก็ยอมตาม โดยการอนุมัติของสภาผู้ปกครองร่วม

ผลการทดสอบปรากฏว่า ไม่มีผลกระทบร้ายแรงใดๆ ดังที่ทฤษฎีของศ.ฌอนทำนายไว้ ในที่สุดจึงมีการเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ จากนั้นมาศ.ฌอนจึงเริ่มเก็บตัวเงียบ เพื่อเตรียมแผนตอบรับ เขาลาออกจากสถาบันการศึกษาที่สอนอยู่ และกลับไปอยู่ที่บ้านในดวงจันทร์บริวารของดาวเมย์ทราน เพื่อเริ่มต้นการศึกษาอย่างจริงจังในการเชื่อมโยงสื่อสารกับชีวพลังงานที่อยู่ในมิติที่ลึกเข้าไป จนสามารถรับถ่ายทอดวิทยาการในการปลูกถ่ายพันธุกรรมพิเศษเข้าสู่สายพันธ์ของมนุษย์ เพื่อเตรียมสร้างกองกำลังไว้รับมือกับวิกฤตการณ์ที่กำลังจะตามมา โดยศ.ฌอนได้ลอบทดลองกับคนจรจัดจำนวนหนึ่ง ที่ยอมแลกกับอาหาร การทดลองในช่วงต้นนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ และได้ทำให้ผู้ทดลองเสียชีวิตและพิกลพิการไปเป็นจำนวนมาก กลุ่มแมสเทลจึงใช้โอกาสนี้จัดการกับศ.ฌอน ในคืนก่อนที่เขาจะถูกบุกจับกุมตัวนั้น เขาได้ค้นพบสูตรสำเร็จใหม่ จึงตัดสินใจทำการปลูกถ่ายให้บุตรชายหญิงทั้งสองของตน และส่งให้ไปอยู่ในความดูแลของเพื่อนสนิทที่เป็นคนของรัฐบาล ส่วนตัวเขาเองถูกจับตัวในฐานะอาชญากรร้ายแรง และถูกตัดสินให้เนรเทศไปอยู่ที่ดาวร้างเนฟคอนส์

การใช้งานระบบขนส่งแบบใหม่ที่รวดเร็วทันใจ ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นเป็นเวลาร่วมสิบปี ทำให้ผู้คนล้วนลืมเลือนคำทำนายในทฤษฎีเซอร์ลอสเชนไปจนหมดสิ้น พอๆ กับข่าวคราวของศ.ฌอน ที่ถูกเนรเทศไปยังเขตกักกันอาชญากรสำคัญที่เนฟคอนส์ ก็คล้ายจะเงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า ศ.ฌอนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ขณะที่ชาวโทรัลก็พากันใช้ชีวิตประจำวันไปตามปกติ โดยที่ไม่มีใครคาดคิดว่า มหาวิบัติภัยอันยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง เมื่อห่วงโซ่ทั้งหมดใกล้จะเคลื่อนเข้ามาเชื่อมโยงถึงกัน อีกทั้งโครงการที่จะทำการนำระบบขนส่งนี้เดินทางกลับไปติดตั้งที่ระบบสุริยะของดาวโลกในรูปแบบของสตาร์เกท ก็ใกล้จะเป็นจริงมากขึ้นทุกขณะ อะไรจะเกิดขึ้นนับตั้งแต่นี้ไป หรือมันจะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งมหาวิบัตภัยล้างจักรวาลครั้งใหญ่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

ติดตามอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone07/blg02/main.php