Thursday, October 28, 2010

โซรีเซีย 1 : ปฏิฆันทารา

หลังจากมหาสงครามที่สุดแสนหฤโหดเมื่อพันปีที่ผ่านมาได้จบสิ้นลง พร้อมกับความบอบช้ำของทุกสายพันธ์และอารยธรรมที่เกี่ยวข้อง ชาวมนุษย์ที่ขยายอณานิคมออกไปยังระบบดาวเทราคอน ล้วนต้องถูกบีบบังคับให้ถอยกลับคืนสู่ระบบดาวดั้งเดิมของตนจนหมดสิ้น ภายใต้ปฏิญญาแห่งความอัปยศ ที่มนุษย์ชาวโซรีเซียทุกคนต้องทนแบกรับไว้ ทำให้พวกเขาต้องถูกกักให้ดำรงคงอยู่เฉพาะในดาวโซริน แหล่งกำเนิดดั้งเดิมของพวกตน ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดจากสายพันธ์เทราอีส ที่ได้รับเลือกจากกลุ่มที่วิตกกังวลต่อการแผ่ขยายอาณานิคมของมนุษย์ ให้เป็นตัวแทนคอยควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้อารยธรรมของมวลมนุษย์ต้องตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัดนานัปการ ตามที่กำหนดไว้ในปฏิญญาฉบับจำยอมนั้น โดยพวกเขาไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีอื่นใด ที่จะเป็นไปเพื่อการทำสงคราม จะมีได้ก็แค่วิทยาการพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการคงอยู่ของเผ่าพันธ์เท่านั้น รวมทั้งยังไม่มีอิสระที่จะเดินทางออกนอกดวงดาวแม้น้อย เพราะมียานแม่ของพวกเทราอีสคอยตรวจตราดูแลอยู่ ด้วยเงื่อนไขที่แสนจะบีบบังคับทั้งหมดนี้ จึงทำให้เผ่าพันธ์มนุษย์ต้องติดอยู่ภายในดาวเคราะห์ต้นกำเนิดของตนมาตลอดระยะเวลาหนึ่งพันปี

สาเหตุสำคัญที่ทำให้สภาสูงแห่งจักรวาลไม่อาจยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยวได้เท่าที่ควร และต้องจำยอมรับเงื่อนไขข้อจำกัดทั้งหมด ที่ถูกใช้บีบบังคับสายพันธ์มนุษย์อย่างรุนแรงและร้ายกาจ ประหนึ่งว่าต้องการให้พวกเขาสิ้นหวัง และทยอยสูญสิ้นเผ่าพันธ์ไปในที่สุดภายในดวงดาวของตน ก็เพราะว่า สภาพภายหลังสงครามที่ทุกฝ่ายตกอยู่ในสภาพที่ยับเยินเกินกว่าจะรวมตัวกันได้อย่างมีเอกภาพ จึงทำให้อำนาจของสภาสูงถูกลดทอนไปอย่างสิ้นเชิง กระทั่งเกิดการแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่ายอย่างค่อนข้างชัดเจน คือฝ่ายที่ต้องการให้โอกาสแก่มนุษย์โลกโดยมีสายพันธ์เฟซาเรียนเป็นแกนนำ ขณะที่อีกฝ่ายต้องการพิพากษาลงโทษประหารชีวิต ทำลายสิ้นทั้งเผ่าพันธ์ของมนุษย์ ก็มีสายพันธ์เทราอีสเป็นหัวโจก

แต่นอกจากสภาพของสภาสูงที่ไร้เอกภาพเพียงพอ ที่จะมีอำนาจควบคุมการตัดสินใจใดๆ ก็ยังมีสิ่งที่ทำให้ทุกฝ่ายต้องแปลกใจก็คือ เงื่อนไขแห่งปฏิญญาฉบับดังกล่าว กลับถูกนำเสนอโดยหนึ่งในชาวเฟซาเรียนที่ดูแลสายพันธ์มนุษย์ เพื่อยุติมหาสงครามและความขัดแย้งทั้งหมด พวกเขาเสนอแผนการสร้างจักรกลพลังงาน ที่มีอำนาจในการดูดซับพลังทางด้านลบทั้งหมดจากสายพันธ์มนุษย์ เพื่อที่จะควบคุมมิให้พวกเขาวิวัฒน์ขึ้นบนเส้นทางแห่งความรุนแรง โดยเรียกจักรกลดังกล่าวนั้นว่า ปฏิฆันทาราในภาษาของชาวมนุษย์ในยุคนั้น เพื่อเป็นการรับประกันว่า มนุษย์จะไม่เป็นสายพันธ์ที่ร้ายกาจเหมือนกับที่สมาชิกอีกฝ่ายหนึ่งมีความเชื่อและวิตกกังวล และเพื่อให้จักรกลนั้นทำงานได้ผล จึงต้องจำกัดขอบเขตของเหล่ามนุษย์ไว้ เป็นเหตุให้มนุษย์ต้องถูกกักไว้ในดาวเคราะห์ต้นกำเนิดของตนเป็นเวลาหนึ่งพันปี โดยถือเป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบ หากในระหว่างระยะเวลาดังกล่าว ไม่มีการเกิดสงครามรุนแรงใดๆ ในอารยธรรมของมวลมนุษย์ ทางสภาสูงก็จะทำการประเมินและนำคดีดังกล่าวนี้มาทำการวินิจฉัยกันใหม่หมด

ในตอนที่เงื่อนไขนี้ถูกนำเสนอต่อสภานั้น ชาวเทราอีสและกลุ่มผู้ต่อต้าน ล้วนเห็นด้วยในหลายประเด็น ประการแรกพวกเขาจะได้มีเวลาฟื้นฟูกำลังของพวกตนขึ้นใหม่ เพื่อรอคอยเวลาหลังหนึ่งพันปีผ่านไป ไม่ว่าปฏิฆันทาราจะใช้ได้ผลหรือไม่ก็ตาม และหากมันสามารถดูดซับพลังงานด้านลบจากจิตใจของมนุษย์ได้จริง ถึงตอนนั้นพวกเขาก็สามารถลอบทำลายมัน เพื่อปลดปล่อยพลังด้านลบให้ปะทุระเบิดออกอย่างฉับพลัน และนั่นย่อมทำให้พวกมนุษย์ได้ซึมซับพลังแห่งความชั่วร้ายอย่างสุดขั้วในเวลาอันสั้น เมื่อบวกรวมกับแรงกดดันที่ถูกกักขังนับพันปี พวกเขาย่อมลุกฮือขึ้นก่อสงครามปลดแอกตนเองอย่างแน่นอน และนั่นก็เป็นเหตุผลอันสมควรซึ่งมีน้ำหนักพอที่จะบังคับให้สภาสูงต้องตัดสินใจ ทำลายล้างเผ่าพันธ์มนุษย์ทั้งหมดในที่สุด ในขณะเดียวกันพวกนั้นยังเชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้น พวกตนจะสามารถฟื้นคืนพลังอำนาจและแสนยานุภาพที่เกรียงไกรพอที่จะมีอิทธิพลแทรกแซงการตัดสินใจของสภาสูงได้

ขณะที่ชาวเฟซาเรียนและกลุ่มผู้คัดค้านการทำลายล้างสายพันธ์มนุษย์ ก็ล้วนเห็นตรงกันว่า มันเป็นทางออกเพียงทางเดียว ที่จะช่วยซื้อเวลาทางรอดของมวลมนุษย์ อีกทั้งผลการต่อต้านของพวกมนุษย์ในมหาสงครามที่ผ่านพ้นไป ก็เป็นสิ่งที่สั่นคลอนความเชื่อถือของสมาชิกในหลายสายพันธ์ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า อารยธรรมมนุษย์ที่เพิ่งพัฒนามาได้ไม่นาน กลับสามารถตอบโต้และต่อต้านการตัดสินลงทัณฑ์ของสภาสูงได้อย่างอาจหาญและกร้าวร้าว พวกเขาทั้งหมดได้เห็นถึงพลังชีวิตและการดิ้นรนต่อสู้อย่างยิ่งยวด จนทำให้หลายสายพันธ์ที่เคยมีความเห็นใจต่อชะตากรรมของชาวมนุษย์ เริ่มไม่แน่ใจว่า หากปล่อยให้มนุษย์คงอยู่ต่อไป พวกเขาอาจกลายเป็นเภทภัยต่อความสงบสุขของทั้งจักรวาลหรือไม่

ยังดีที่ชาวเฟซาเรียนได้ชี้ให้กลุ่มที่เห็นด้วยกับตนส่วนใหญ่ เชื่อตรงกันว่า ชาวเทราอีสมีความเห่อเหิมทะเยอทะยานที่จะครองอำนาจ แม้ไม่มีชาวมนุษย์ สงครามก็คงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ตรงกันข้าม การอุบัติบังเกิดของสายพันธ์มนุษย์นี้เอง ที่จะกลายเป็นสิ่งต่อต้านขัดขวางการเคลื่อนไหวในแผนการใหญ่ของพวกเทราอีสและพวกได้ หากสามารถโน้มน้าวให้พวกมนุษย์มาเป็นพวก โอกาสชนะสงครามย่อมตกเป็นฝ่ายของพวกตนในที่สุด และสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกฝ่ายยังคงความเชื่อมั่นไว้ได้ก็คือ การรับรองของชาวเฟซาเรียน โดยมีฟาเซียริสหนึ่งในชนชั้นสูงของเฟซาร์ ซึ่งเป็นดังเทพเจ้าที่ชาวมนุษย์ให้ความเลื่อมใส ทั้งหมดจึงเชื่อว่า นางจะสามารถโน้มน้าวและเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพวกมนุษย์ได้ โดยที่ไม่มีผู้ใดระแคะระคายแม้เพียงน้อยนิด ถึงแผนการเบื้องหลังอันลึกลับซับซ้อน ที่ซ่อนเงื่อนงำอยู่ภายในจักรกลปฏิฆันทารา มันเป็นสิ่งที่ได้ถูกบรรจงสร้างขึ้นผ่านการวางแผนมาอย่างแยบยลนับพันปี และแล้วเวลานั้นก็มาถึง มหาตำนานแห่งโซรีเซียจึงเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ติดตามอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.daow8.com/zone04/blg01/main.php

No comments:

Post a Comment